เป็นครั้งแรกหลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประกาศว่าการถ่ายโอนอำนาจให้กับประธานาธิบดีคนใหม่ จะเกิดขึ้นอย่างมีระเบียบในวันสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งของ โจ ไบเดน ในวันที่ 20 มกราคม ที่จะถึงนี้
ทรัมป์ประกาศยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันท่ี 7 มกราคม หลังจากที่สภาคองเกรส ได้ประกาศรับรองเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง ที่ โจ ไบเดน ได้รับมากกว่า (306 ต่อ 230 เสียง) ในช่วงเช้ามืดของวันเดียวกัน
ช่วงสองเดือนหลังการเลือกตั้ง การกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานรองรับของทรัมป์ ว่าตนเองถูกโกงการเลือกตั้ง ทำให้เกิดความวุ่นวายในหลายๆ รัฐที่คะแนนสูสี มีการฟ้องร้องต่อศาล มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้สนับสนุนที่ออกมากดดันเจ้าหน้ารัฐในลักษณะต่างๆ โดยเหตุการณ์รุนแรงถึงขีดสุดเมื่อวันพุธที่ 6 มกราคม เมื่อกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ ได้บุกเข้าไปในรัฐสภาขณะที่สมาชิกสภาครองเกรสจากทั้งสองสภา กำลังประชุมเพื่อรับรองเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง เป็นเหตุให้การประชุมต้องหยุดชะงัก บรรดานักการเมืองและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้างๆ ต้องอพยพไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัยเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะรักษาความสงบได้
ผลจากการควบคุมความสงบ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตสี่คน โดยผู้ตายอย่างน้อยหนึ่งคนถูกยิงขณะบุกเข้าไปในรัฐสภา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้สื่อมวลชนและนักวิจารณ์การเมืองของทุกค่าย ต่างประณามการกระทำดังกล่าวอย่างรุนแรง ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย โดยเป้าหมายของเสียงตำหนิเหล่านั้นเกือบทั้งหมดพุ่งไปที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ในฐานะผู้ยุยงให้เกิดการกระทำที่ทำให้ประเทศสหรัฐฯ ต้องอับอายไปทั่วโลกเช่นนี้
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายได้ยุติลง สภาคองเกรสก็ได้เริ่มดำเนินการประชุมต่อหลังจากที่ต้องระงับไปนานถึง 6 ชั่วโมง และสามารถลงมติรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการได้ในช่วงเช้ามืดของวันพฤหัสฯ ที่ 7 มกราคม
“ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงกับผลการเลือกตั้ง และมีข้อเท็จจริงยืนยันก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม จะมีการถ่ายโอนอำนาจอย่างเป็นระเบียบในวันที่ 20 มกราคม” ทรัมป์ระบุในแถลงการณ์ที่โพสต์ผ่านบัญชีทวิตเตอร์ของหัวหน้าฝ่ายโซเชียลมีเดียของเขา โดยบัญชีของทรัมป์เองถูกระงับชั่วคราว โดยทวิตเตอร์ให้เหตุผลที่ว่า เป็นเพราะทรัมป์โพสต์ข้อความที่เข้าข่ายทำลายระบบประชาธิปไตย
แม้จะถูกกดดันจนต้องยอมให้มีการถ่ายโอนอำนาจอย่างมีระเบียบ แต่ทรัมป์ก็ยังไม่ยอมแพ้ โดยบอกว่า แม้จะเป็นการสิ้นสุดเทอมแรกของการเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ตาม “แต่มันเป็นการเริ่มต้นการต่อสู้ของเรา เพื่อทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”