บทความหน้าสาม
ไม่ใช่แค่สภาล่างเท่านั้นที่ “ไม่เอา” ทรัมป์






โดย : ภาณุพล รักแต่งาม


ว่ากันว่า เหตุการณ์จลาจลบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันพุธที่ 6 มกราคม ซึ่งเป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตถึงห้าคนนั้น ถือเป็นเหตุการณ์นองเลือดในรัฐสภา ที่มีความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากเป็นอันดับสอง ในประวัติศาสตร์อเมริกา คือรองจากเหตุการณ์สงครามที่เรียกกันว่า The War of 1812 เท่านั้น

สงครามปี 1812 ที่นักประวัติศาสตร์อ้างถึง เป็นสงครามระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ที่ยาตราทัพบุกหลายเมืองสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงเมืองหลวง คือกรุงวอชิงตัน ดีซี ในเดือนสิงหาคม 1814 มีการบุกและเผาทำลายสถานที่สำคัญ รวมถึงอาคารรัฐสภา และแมนชั่นผู้บริหาร หรือทำเนียบขาวด้วย ก่อนที่กองทัพสหรัฐฯ ได้ต่อสู้และขับไล่ผู้บุกรุกได้สำเร็จ มีเจรจายุติสงคราม และมีการลงนามในสนธิสัญญาเกนต์ (Treaty of Ghent) ที่เบลเลี่ยม ในปลายปี 1814 นั่นเอง

การศึกกับผู้รุกรานจากต่างชาติครั้งนั้น สร้างกระแสรักชาติให้กับชาวอเมริกัน มีการพัฒนากองทัพจนเข็มแข็ง ต่างออกไปจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 อย่างลิบลับ เพราะผู้อยู่เบื้องหลังการบ่อนทำลายชาติ โดยการบุกรุกเข้าไปขัดขวางกระบวนการในระบอบประชาธิปไตย หรือเข่นฆ่านักการเมืองฝั่งตรงข้ามกับตนคือ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาเอง

ผลลัพธ์จากการยุยงให้กลุ่มผิวขาวติดอาวุธ และประชาชนท่ีสนับสนุนเขาบุกเข้าไปในรัฐสภา เพื่อขัดขวางการประชุมรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของสภาคองเกรส เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 นั้น  ไม่ใช่เพียงแต่สภาผู้แทนราษฎร หรือสภาล่าง เท่านั้นที่ไม่ยอมรับ และได้ลงมติถอดถอน (impeachment) ทรัมป์จากตำแหน่งในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังมีอีกหลายภาคส่วนที่ประกาศเจตนารมณ์ “ไม่เอาทรัมป์” ร่วมด้วย ตั้งแต่องค์กรยักษ์อย่าง กอล์ฟ พีจีเอ, โซเชียลมีเดียต่างๆ ไปจนถึงม้าหมุนเด็กเล่นในเซ็นทรัลปาร์ค ของนิวยอร์ก ด้วย

โดยองค์กรต่างๆ ที่แสดงท่าทีรังเกียจที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับทรัมป์ออกมาแล้ว ก็เช่น


:-โซเชียลมีเดีย แพลทฟอร์มส์ 


โซเชียลมีเดีย ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของทรัมป์กับบรรดากลุ่มผู้สนับสนุนของเขา มาตั้งแต่ต้น ต่างพากัน “แบน” ทรัมป์ด้วยรูปแบบที่แตกต่างกัน ล่าสุดคือยูทูป ประกาศเมื่อวันพุธ (13 มกราคม) ขอแบนทรัมป์อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ หลังจากที่ เฟสบุ๊ก และทวิตเตอร์ ได้นำทางไปก่อนแล้ว


ในส่วนของทวิตเตอร์ ซึ่งถือเป็นช่องทางหลักที่ทรัมป์ใช้สื่อสารกับผู้ติดตามเขาหลายสิบล้านคนนั้น ได้แบนบัญชีส่วนตัวของทรัมป์เป็นการถาวร หลังจากได้แบนระยะเวลาสั้นๆ ไปแล้ว แต่พอพ้นช่วงแบน ทรัมป์ก็ยังคงใช้ทวิตเตอร์เป็นเครื่องยั่วยุให้เกิดความไม่สงบต่อไป


:-องค์กรกีฬาอาชีพ และนักกีฬาระดับตำนาน 

องค์กรกีฬากอล์ฟ พีจีเอ ทัวร์ ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรกอล์ฟอาชีพหลักของอเมริกา ประกาศตัดสัมพันธ์กับทรัมป์ โดยบอกว่าจะไม่ใช้สนาม Trump National Golf Club ของทรัมป์ ในเมืองเบดมินเตอร์ รัฐนิวเจอร์ซี่ ในการแข่ง พีจีเอ แชมเปียนชิป ปี 2022 โดยให้เหตุผลว่าหากยังเกี่ยวข้องกับทรัมป์ จะเป็นอันตรายกับภาพพจน์ของ พีจีเอ

นอกจากนี้ บิลล์ เบลิชิก เฮดโค้ชของทีม นิว อิงแลนด์ แพทริออตส์ ก็ประกาศไม่ขอรับเหรียญอิสรภาพ (Presidential Medal of Freedom) ซึ่งถือเป็นอิสริยาภรณ์ขั้นสูงสุดที่พลเมืองอเมริกันจะได้รับ เพราะเป็นเหรียญรางวัล ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นผู้มอบให้ 

โดยโค้ชระดับตำนานของเอ็นเอฟแอล วัย 68 ปี ให้เหตุผลในการไม่ใกล้ชิดกับทรัมป์แบบง่ายๆ แต่จับใจว่า “ผมคือชาวอเมริกันที่ให้ความเคารพอย่างสูงต่อคุณค่าของชาติ, อิสรภาพและประชาธิปไตย”


:-องค์กรธุรกิจระดับใหญ่


องค์กรธุรกิจระดับเมเจอร์หลายแห่ง เช่นวอลมาร์ท และวอลท์ดีสนีย์ ที่มีสายสัมพันธ์อยู่กับทรัมป์และนักการเมืองในเครือ ได้ประกาศยกเลิกสนับสนุนด้านเงินทุนให้กับสมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรครีพับลิกันทุกคนที่ไม่รับรองคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งจากรัฐต่างๆ ที่โจ ไบเดน เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง โดยมองว่าพฤติกรรมของนักการเมืองที่แสดงตัวชัดเจนว่าเป็นสาวกทรัมป์นั้น เข้าข่าย “หักหลัง” ประชาชน และเหยียบย่ำความเป็นประชาธิปไตยอย่างไร้ยางอายที่สุด

เช่นเดียวกับ จิม ทิมมอนส์ ซีอีโอของสมาคมผู้ผลิตสินค้าแห่งชาติ (National Association of Manufacturers) ซึ่งมีองค์กรธุรกิจเป็นสมาชิกมากกว่า 14,000 แห่ง ได้ออกมาเรียกร้องเมื่อวันที่ 13 มกราคม ให้รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ และคณะรัฐมนตรี ใช้บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมมาตราที่ 25 ทำการปลดทรัมป์ออกจากตำแหน่งตามความต้องการของประชาชน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อ “รักษาประชาธิปไตยเอาไว้”

นอกจากนี้ ข่าวของนิวยอร์กไทมส์ บอกด้วยว่าธนาคารดอยซ์ (Deutsche Bank) ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนี ซึ่งเป็นแหล่งเงินกู้หลักของทรัมป์และองค์กรในเครือ ได้ประกาศระงับความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับทรัมป์ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ว่าไม่พอใจกับพฤติกรรมยั่วยุให้เกิดความรุนแรงของทรัมป์

ข่าวบอกว่าองค์กรธุรกิจของทรัมป์เป็นหนี้เงินกู้กับดอยซ์ แบงค์ ราว 340 ล้านดอลลาร์ โดยจะครบกำหนดชำระในอีกสองปีข้างหน้า


:-กลุ่มทนายความที่เคยห้อมล้อมทรัมป์

บรรดานายความระดับไฮโปรไฟน์หลายคน ที่เคยช่วยเหลือทรัมป์ในคราวถูกยื่นถอดถอนครั้งแรก จะไม่ปรากฎตัวเพื่อช่วยทรัมป์ในห้องประชุมรัฐสภาครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น เจย์ เซคูโลว์ และ แพท ชิปโปลโลน ทนายความที่มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาประจำทำเนียบขาวด้วย โดยคนหลังนี้ มีข่าวว่ากำลังจะประกาศลาออกจากตำแหน่งเร็วๆ นี้

โดยทนายความที่เชื่อว่าน่าจะอยู่ข้างทรัมป์ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายในตำแหน่งนี้ น่าจะมีเพียง รูดี จูลิอานี ทนายความส่วนตัวที่มีภาพพจน์เลวร้ายไม่ต่างกัน ด้วยว่าร่วมยุยงปลุกปั่นม็อบอยู่กับทรัมป์ในช่วงเช้าวันเกิดเหตุ โดยคำพูดที่ถูกยกมา “ฆ่า” จูลิอานี ในภายหลังคือคำประกาศให้ผู้สนับสนุนทรัมป์ใช้ความรุนแรงเข้าสู้ หรือ Trial by combat


:-มหานครนิวยอร์ก 


นิวยอร์ก ซิตี้ เมืองเกิดของทรัมป์ ที่ตั้งของอาคารระฟ้า ทรัมป์ทาวเวอร์ สัญลักษณ์สำคัญของอาณาจักรทรัมป์  ได้ประกาศยกเลิกสัญญาการค้าทุกชนิดกับองค์กรของทรัมป์ รวมถึงลานสเก็ตขนาดใหญ่สองแห่ง และสนามกอล์ฟของเทศบาลในย่านบร็องซ์ ซึ่งข่าวบอกว่าจะถูกเปลี่ยนชื่อจาก ทรัมป์กอล์ลิงค์ แอท เฟอร์รี่ พอยท์ เป็นชื่ออื่นในเร็วๆ นี้

แม้กระทั่งม้าหมุน (carousel) ของเด็กๆ ในเซ็นทรัลปาร์ค ซึ่งองค์กรของทรัมป์เป็นผู้ดูแลนั้น ก็จะมีการแปะป้ายตัวโตๆ ในเร็วๆ นี้ว่า “อันเดอร์ นิว เมเนจเมนท์” อันเป็นผลจากการยกเลิกสัญญาธุรกิจกับองค์กรของทรัมป์ด้วยเช่นกัน

บิลล์ เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีของมหานครนิวยอร์ก ให้เหตุผลของการตัดสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจกับทรัมป์ว่า เป็นเพราะทรัมป์มีพฤติกรรมเป็นกบฎต่อรัฐบาลสหรัฐ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึงห้าคน และเป็นภัยต่อการถ่ายโอนอำนาจการปกครองอย่างสันติตามหลักรัฐธรรมนูญ

“เทศบาลนครนิวยอร์ก จะไม่ขอเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ไม่สามารถให้อภัยได้เหล่านั้น ในทุกรูปแบบ” นายกเทศมนตรีนิวยอร์ก ประกาศ


:-รีพับลิกัน

แม้จะยังพูดเต็มปากเต็มคำไม่ได้ว่า พรรครีพับลิกัน ไม่สนับสนุนพฤติกรรมนอกรีตของทรัมป์ เพราะบรรดานักการเมือง หรือบุคคลสำคัญส่วนใหญ่ ยังไม่แสดงท่าทีใดๆ ให้เห็น แถมยังมีนักการเมืองบางส่วนประกาศสนับสนุนประธาธิบดีทรัมป์อย่างออกหน้าออกตาต่อไปด้วย

แต่เหตุการณ์ในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันพุธที่ 13 มกราคม ขณะมีการอภิปรายญัตติถอดถอน หรือ impeachment ทรัมป์ที่กินเวลากว่า 3 ชั่วโมงนั้น มี ส.ส.รีพับลิกันเพียงหยิบมือเท่านั้นที่แสดงตัวออกมาอภิปรายเข้าข้างทรัมป์ และโจมตีเดโมแครตว่าเสแสร้งและโหนกระแส 

แต่ส่วนใหญ่แล้ว ส.ส.รีพับลิกัน ต่างแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจกับพฤติกรรมของทรัมป์ เช่นผู้นำส.ส.รีพับลิกัน เควิน แม็คคาร์ธี จากแคลิฟอร์เนีย ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ภักดีกับทรัมป์สูงสุด ลุกขึ้นกล่าวในที่ประชุมสภาว่าทรัมป์จะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น แต่ที่ไม่ยกมือสนับสนุนให้มีการถอดถอนทรัมป์นั้น เป็นเพราะเขาเห็นว่ามีกรอบเวลาน้อยเกินไป

เมื่อครั้งสภาผู้แทนพิจารณาญัตติถอดถอนทรัมป์ครั้งแรกนั้น ไม่มีส.ส.รีพับลิกันแม้เพียงหนึ่งคนที่โหวตเห็นชอบ แต่คราวนี้ สภาล่างผ่านญัตตินี้ด้วยเสียงถึง 232 ต่อ 197 ถือเป็นเสียงสนับสนุนสูงสุดในประวัติศาสตร์การยื่นขอถอดถอนประธนาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งนี้เพราะมีเสียงสนับสนุนให้ถอดถอนทรัมป์ด้วยข้อหาก่อความไม่สงบ (insurrection) จาก ส.ส. รีพับลิกันถึง 10 คน

ขณะที่ในสภาสูง หรือวุฒิสภานั้น การพิจารณาถอดถอนทรัมป์ครั้งแรก มีเพียง มิทท์ รอมนีย์วุฒิสมาชิกจากยูท่าห์ เพียงคนเดียวที่โหวตสนับสนุนญัตติถอดถอนทรัมป์ แต่คราวนี้มีวุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกันหลายคนแสดงท่าทีเห็นชอบกับญัตตินี้ รวมถึง มิชช์ แม็คคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา ที่บอกเมื่อวันที่ 13 มกราคมว่า เขายังไม่ตัดสินใจว่าจะยังสนับสนุนทรัมป์ต่อไปหรือไม่ โดยบอกว่าขอฟังการถกญัตติในรัฐสภาเสียก่อน ค่อยว่ากัน

เราเชื่อว่า ไม่เคยมีประธาธิบดีสหรัฐฯ คนไหนในประวัติศาสตร์ ที่ถูกโดดเดียว ถูกรังเกียจจากมหาชนได้ขนาดนี้ และแน่นอนว่าความรังเกียจเดียจฉันท์ดังกล่าว นอกจากจะมีผลกระทบกับภาพลักษณ์ต่อไปอนาคตแล้ว ยังกระทบแรงกับ “รายได้” ที่เขาสามารถกอบโกยต่อไปได้อีกยาวนานหลังจากพ้นจากตำแหน่งอีกด้วย

กระแส “โดดเดี่ยวทรัมป์” ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ถือว่าเป็นผลดีกับสหรัฐฯ โดยภาพรวมอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นการเรียกร้องหาความรับผิดชอบจากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น “ต้นเหตุ” แห่งความไม่สงบครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของประเทศแล้ว ยังเป็นการแสดงทั่วโลกเห็นด้วยว่าประเทศอมริกา ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ทรัมป์ทำลงไป

น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการกู้หน้า ล้างอาย และสร้างภาพของ “ผู้นำโลกเสรี” ของสหรัฐฯ ที่เสียหายแบบยับเยินตลอดสี่ปีในตำแหน่งของทรัมป์ ให้กลับคืนมาได้...

 




นำเสนอข่าวโดย : ทีมข่าว สยามทาวน์ยูเอส,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส
22-05-2023 แผนกสูตินรีเวชของ APHCV จัดเสนอบริการรับฝากครรภ์ที่ศูนย์สุขภาพลอสเฟลิซให้แก่ชุมชนมานานกว่า 20 ปีแล้ว (0/1508) 
05-05-2023 รายงาน : เปิดหมายกำหนดการและขั้นตอนสำคัญ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 (0/401) 
30-01-2023 รายงาน : สรุปเทรนด์ตลาดและธุรกิจปี 2565 ในสหรัฐฯ และแนวโน้มปี 2566 (0/854) 
29-09-2022 เพื่อช่วยบุตรหลานของท่านในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการแสดงออกที่โรงเรียน ให้ดียิ่งขึ้น (0/988) 
29-03-2022 รู้จัก “ส้มซูโม่” ที่กำลังดังเปรี้ยงทาง TikTok (0/2376) 

แสดงความคิดเห็น

Name :
 
Detail :
 



ฉบับที่
597
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข