สารพัดสารพันกับวัลลภา โดย...วัลลภา ดิเรกวัฒนะ
บุตรชายคนเดียวของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ทั้งสองพ่อลูกศึกษาทางด้านศิลปะจนถึงระดับปริญญาเอก ดร.ดอยธิเบศร์สร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่องมากว่า 30 ปี ได้รับเลือกร่วมงานแสดงศิลปะทั้งในและต่างประเทศ ได้รับเชิญเป็นวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทางด้านทัศนศิลป์ อาจารย์พิเศษด้านการบริหารจัดการทางพิพิธภัณฑ์ในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง...
ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ นักออกแบบสร้างสรรค์ นักบริหารจัดการทางพิพิธภัณฑ์ ทำธุรกิจด้านศิลปะ เป็นผู้ก่อตั้งโครงการที่เกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรมและทำงานเพื่อสังคมตลอดมา...
...ผมเกิดที่กรุงเทพฯ ได้ประมาณสองอาทิตย์พ่อก็ส่งไปอยู่กับย่าที่อำเภอเมือง เชียงราย ในที่ดินผืนหนึ่งใกล้กับหอนาฬิกา มีบ้านปลูกเป็นหลังๆ ลุงป้าน้าอาอยู่รวมกันหมด ผมเรียนที่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ถึงชั้น ม. 6 เรียนต่อกรุงเทพฯ จบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยรังสิต สาขาศิลปกรรม จิตรกรรม ปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหิดล สาขาบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ ปริญญาเอก สาขาจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร...
ผมเติบโตมากับย่า ซึ่งเลี้ยงดูแบบโบราณ พร่ำสอนด้านมารยาท การวางตัว ไปวัดทุกอาทิตย์กับย่าตั้งแต่เด็ก ผมมีพี่น้องเป็นผู้หญิงหลายคน มีผู้ชายแค่สองคน เพื่อนส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิง ทำให้มีความละเอียดอ่อน ชีวิตมีแค่โรงเรียน ไปวัด กลับบ้าน
ถ้าให้เปรียบเทียบ ตัวผมน่าจะเป็นหน่อไม้ที่ทะลุดินออกมา ค่อยๆ โตไปเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องมีคนรดน้ำพรวนดิน หน่อไม้ที่โตเองทำไมถึงได้โตอย่างสวยงาม ผมเชื่อว่าจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่ตัวเรา 90 เปอร์เซ็นต์ 5 เปอร์เซ็นต์ครอบครัว อีก 5 เปอร์เซ็นต์ สิ่งแวดล้อม ผมชอบอยู่คนเดียว ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ไม่เที่ยว โดยสามัญสำนึกไม่มีใครบอก พ่อสอนวาดรูปนิดหน่อยก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
ผมมีพ่อเป็นคนสาธารณะ เราทำงานด้วยกันบ้าง แต่ไม่มีเวลาพูดคุยเรื่องส่วนตัว ทำอะไรก็ตัดสินใจด้วยตัวเอง แม้กระทั่งเรื่องงาน ต้องคอยถามพ่อว่าอันนั้นอันนี้ดีไหม ผมเคยชอบเครื่องยนต์กลไก เกือบเรียนอีเล็คโทรนิคตามเพื่อน แต่ที่ผมเลือกเรียนศิลปะเพราะคิดว่าทำได้ดีที่สุด อาจเป็นไปได้ว่าศิลปะทำให้ได้อยู่ใกล้พ่อ ครั้งหนึ่งตอนที่ผมอายุยี่สิบเศษเป็นตัวแทนของประเทศไทยในฐานะศิลปินรุ่นเยาว์ พ่อเป็นตัวแทนศิลปินรุ่นอาวุโส ได้แสดงงานด้วยกันที่ต่างประเทศ ผมจำได้ว่ามีความสุขมากที่สุด นอนห้องเดียวกันตั้งหลายคืน
พ่อเล่าว่า เมื่อเด็กๆ ผมเคยไปในงานกับพ่อ คนเข้ามารุม ผมกอดขาพ่อไว้ เอาหัวซุกที่ขาพ่อแล้วร้องไห้ ผมไม่ได้หวงพ่อว่าเป็นคนสาธารณะ ผมยินดีที่พ่อได้ทำอะไรให้กับสังคม รู้สึกดีที่ทุกคนชื่นชมพ่อ แต่ผมสงสารว่าบางทีพ่อก็เหนื่อยมากเท่านั้นเอง พ่อมีหลายบุคลิกในแบบเดียวกัน เป็นศิลปิน เป็นนักพูด นักปรัชญา
มีคนคิดว่าผมโชคดีมีบุญ แต่ผมเป็นลูกผู้ชาย ต้องหาเงิน ต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง เวลาทำอะไรมีคนจับตามองตลอด บางทีอึดอัดที่ทำชั่วไม่ได้เลย ผมอยากไปโลดแล่นตามอำเภอใจก็ทำไม่ได้ พยายามให้กำลังใจตัวเองว่า ถึงแม้เต่าจะเดินช้า แต่มันอายุยืน กระดองก็ช่วยปกป้องตัวมันเอง เป็นความรู้สึกในเวลาที่ผมเลือกไม่ได้
ตอนเรียนปริญญาตรี ผมเคี่ยวเข็ญตัวเอง ระหว่างเรียนก็ทำงานไปด้วย ทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับศิลปะด้วยความสนุก มีความสุขมาก แต่พ่อเราก็เก่งเหลือเกิน บางทีทำอะไรก็ไม่กล้าให้พ่อดู ผมทำงานหนักตั้งแต่เรียนปี 1 ถึงปี 4 รับงานออกแบบใหญ่ๆ ของบริษัทนาการ่า และจิมส์ ทอมป์สัน แม้เป็นเด็กก็ได้ผลตอบรับดี จนรู้สึกว่ามั่นใจมากขึ้น ผมได้รับเลือกเป็นศิลปินในประเทศไทย ออกแบบผลงานจิตรกรรม โค้กด้านดีๆ ของชีวิต นั่นคือความหมายเหมือนกันทั่วโลก สำหรับใช้เผยแพร่ในประเทศไทย และบันทึกไว้ในผลิตภัณฑ์โคคาโคล่า สหรัฐอเมริกา
ที่เมืองไทยให้ศิลปินรุ่นใหม่สี่ภาค เหนือ กลาง ใต้ อีสาน ออกแบบ ผมได้รับการคัดเลือกจากศิลปินภาคเหนือจำนวน 25 คน ต้องถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมของภาคเหนือทั้งหมด การมองโลกในแง่ดีและความเป็นตัวตนของเราเอง การที่จะเอาศิลปวัฒนธรรมมาบดย่อยรวมลงในแค่กระดาษสี่เหลี่ยมแผ่นเดียว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอกเล่าเป็นเรื่องราว
เขาให้เวลา 2 อาทิตย์ ผมต้องไปค้นคว้าหาข้อมูล กว่าจะสะเก็ตได้แล้วทำจริง ผ้าจะมีลายเฉพาะ ลายก้านขด ลายเมฆไหล ลักษณะที่เป็นสถาปัตยกรรมภาคเหนือ ผมก็เอาลวดลายที่ประทับใจมาประดิษฐ์ให้เป็นลายของตัวเอง เขาทำบิลบอร์ดขนาดใหญ่ประมาณ 40 เมตร ติดตั้งอยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อีกแผ่นหนึ่งตรงถนนเข้าจังหวัดเชียงใหม่ และที่นครสวรรค์ เพื่อต้องการให้เห็นว่าคือประตูเข้าสู่ภาคเหนือ ผมวาดแนวตั้งกับแนวนอนไว้พิมพ์ลายบนกระป๋อง ขายนักสะสม ก่อนหน้านั้นผมเคยทำงานที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวใช้เทคนิค ไม่ใช้แปรงหรือพู่กัน ใช้วิธีการหยอดที่ได้แรงบันดาลใจจากขนมโตเกียว
เจ้าของบริษัทแบล็กแอนด์ไวท์ สร้างบ้านในเมืองไทย ให้ออกแบบโคมไฟประดับสนาม ผมไปศึกษาแล้วออกแบบขึ้นมา บางคนอยากได้ศาลพระภูมิ ก็ทำแบบสมัยใหม่สไตร์ของผมเอง บางคนอยากได้งานเวลาผมทำภาพประกอบให้กับหนังสือหลายฉบับ ตอนนั้นผมเป็นแค่นักศึกษา ไม่ได้คิดว่าเป็นศิลปิน ปรากฏว่าขายได้มากที่สุด ก็แปลกใจว่าคนที่ชอบผมก็มี
ผมวาดจิตรกรรมฝาผนังให้วัดมุงเมือง เชียงราย ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก วัดมีก่อนจังหวัดเชียงราย พระบรมสารีริกธาตุอยู่ในเจดีย์ มีพระศักดิ์สิทธิ์สวยงามมาก ที่สำคัญคือผมโตจากวัดนี้ พอได้กลับบ้านแล้วทำอะไรให้กับสังคม งานที่ทำให้วัดเป็นการมอบคืนสู่บ้านเกิด เงินที่ออกไปคือการทำบุญ ผมภูมิใจมากที่ได้ทำตรงนี้
พิพิธภัณฑ์ บ้านดำ 40 หลัง พ่อเป็นคนสร้าง ผมก็ต้องรักษา การสร้างยากจริง แต่รักษาให้อยู่ยากกว่า ผมเรียนการจัดการพิพิธภัณฑ์จนได้คำตอบว่าต้องบริหารจัดการให้เป็น คิดเป็น ผมตระเวนไปทั่วโลกเพื่อหาข้อมูลพิพิธภัณฑ์เมืองนอก ถ้าไม่เก็บสตางค์แล้วจะเอารายได้มาจากไหน ผมว่าเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ได้ควบคุมกักขังวิญญาณของผม ผมสามารถหาเงินได้สักก้อนเพื่อดำรงชีวิตด้วยตัวเอง
พ่อผมน่าสงสารตรงที่อายุมากแล้วยังทำงานหนัก เงินไม่ได้ใช้ สร้างบ้านเยอะแยะก็ไม่ได้อยู่ พ่อทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ แล้วในที่สุดผมต้องยอมรับว่าพ่อเก่ง และผมก็น่าสงสารตรงที่ต้องมารับภาระที่พ่อทำไว้ ถ้ามีบ้านหลังเดียว เก็บกวาดบ้านก็เหนื่อยแล้ว นี่ 40 หลัง ก็หนักขึ้นไปอีก แต่เกิดเป็นคนก็ต้องสู้
สำหรับปัญหาในการพัฒนาบ้านดำ ผมเป็นคนเจอปัญหามาทั้งชีวิต แต่ผมมองว่ามันเป็นปัญหาหรือเปล่า จริงๆ แล้วปัญหาเป็นที่มาของปัญญา ถ้าเราไม่มีปัญหาก็ไม่เกิดปัญญา เรื่องของปัญหาเล่าทั้งวันก็ไม่หมด ผมทำงานเบื้องหลังตลอด ในเฟซบุ้คบ้าง ในชีวิตจริงบ้าง ถ้าสังเกตจะเห็นว่าบ้านดำไม่เคยหยุดเลย และตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยหยุดทำงาน
บ้านดำเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ผมไม่อยากให้สิ่งที่พ่อทิ้งไว้ตายไปกับท่านด้วย อีกทั้งไม่ใช่สมบัติที่ผมต้องเอาติดตัวไปด้วย ผมคิดว่าบ้านดำเป็นของแผ่นดิน เรามีหน้าที่แค่ดูแล ต้องบริหารจัดการว่าทำอย่างไรให้อยู่นานที่สุด นั่นต่างหากคือความสำคัญ พ่ออาจไม่เก่งเรื่องบริหารจัดการ ทำงานศิลปะ วาดรูปอย่างเดียว ส่วนผมทำได้ทั้งสองอย่าง พยายามบริหารสมองทั้งสองฝั่ง คือวาดรูปได้ บริหารเป็น เราต้องเสียสละเวลาทั้งชีวิตเพื่อพัฒนาต่อยอดจากที่พ่อทำไว้ให้ได้
...ตอนที่ผมยังเล็กๆ ช่วงวันหยุดผมไปอยู่กับพ่อที่บ้านดำ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนไปเข้าค่ายลูกเลือ เพราะที่บ้านดำไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เราใช้ชีวิตวิถีธรรมชาติ อยู่บ้านที่ปลูกสร้างด้วยไม้ไผ่ ปลูกสร้างบนพื้นดิน มุงด้วยหลังคา ห้องน้ำที่สานด้วยไม้ไผ่พอกด้วยขี้ควาย ไม่มีวัสดุสังเคราะห์อื่นเจือปนแม้แต่น้อย ตอนอากาศหนาวก็หนาวจับใจ ห้องครัวเรามีเตาอั้งโล่หนึ่งใบ ใช้ฟืนและถ่านหุงต้ม เวลาจะใช้น้ำต้องลงไปหาบจากบ่อ เอามาตวงใส่ตุ่มดินเผา ใช้กระบวยตักอาบ
ช่วงเช้าพ่อพาผมลัดทุ่งนาเพื่อไปยังถนนหลวง ผมเดินผ่านทุ่งนาอย่างทุลักทุเล รองเท้าแตะตราช้างดาวเก่าๆ ของผมที่ไม่เกาะพื้นแถมยังเปียกน้ำค้างจากยอดหญ้า ทำให้การทรงตัวบนคันนายากกว่าเดิม พ่อเดินไปข้างหน้าโดยไม่รอผม ผมเร่งฝีเท้าตาม พร้อมกับต้องทรงตัวให้ได้บนคันนาลื่นๆ หญ้าที่ขึ้นสูงเกือบครึ่งขา ที่ผมต้องแหวกตามยิ่งทำให้ผมเดินช้าลง
เมื่อถึงสะพานไม้ข้ามคลอง เป็นสะพานที่ทำจากต้นไม้ บางทีก็เป็นไม้เก่าๆ พาดอย่างลวกๆ พ่อเดินข้ามไปรอผมอีกฝั่ง ส่วนผมยืนเก้ๆ กังๆ ไม่กล้าข้าม ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าคลองนี้กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้าผมข้ามไปผมต้องตกลงไปตายแน่ๆ
ผมพยายามเหยียบไปที่โคนสะพาน ค่อยๆ เดินไป นั่งไป บางครั้งมันก็โยก ผมก็ยิ่งกลัว ผมกลัวมาก เพราะยังเด็กมากว่ายน้ำก็ไม่เป็น ในขณะที่ผมกำลังทรงตัวอยู่นั้น พ่อเดินหายไปลับตา ยิ่งทำให้ผมกลัวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ทำยังไงได้ นอกจากต้องข้ามไปให้ได้ แม้จะทุลักทุเลแค่ไหนก็ตาม
เมื่อผมโตขึ้น คลองที่ผมเคยข้ามก็ยังอยู่ที่เดิม คันนาที่ผมเคยเดินผ่านก็ยังอยู่ที่เดิม แต่สิ่งที่หายไปคือความกลัวของผม ผมมองไปยังสะพานอันเล็กๆ และคลองที่กว้างไม่ถึงสองเมตร แล้วแอบยิ้มให้ว่าวันหนึ่งผมเกือบเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่
สะพานไม้ของพ่อสอนให้ผมอดทนตั้งแต่เด็กๆ โดยเรียนรู้ชีวิตด้วยความลำบาก พ่อไม่เคยตามใจ ไม่เคยโอ๋ ไม่เคยเอาใจ แต่พ่อให้วัคซีนชีวิตตั้งแต่ผมเกิดมาบนโลกใบนี้ จากสะพานไม้เล็กๆ ของพ่อในวันนั้น ทำให้ผมก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ในวันนี้...
ในเมื่อผมมีโอกาสดีกว่าคนอื่น ถ้าสามารถหยิบยื่นให้ใครได้ผมก็จะทำ คนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่เป็นร้อยเป็นพันปี การที่แบ่งความสุขให้คนอื่นสักนิด บางครั้งความสุขนิดเดียวอาจเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนอื่นก็ได้ ผมอยากเติมไฟศิลปะให้เด็ก ผมมักจะบอกเด็กๆ ว่าศิลปะเป็นงานที่เรารัก สำคัญที่สุดคือต้องออกมาจากหัวใจ ถึงจะแสดงออกมาให้คนอื่นเห็นได้ ในเมื่อบางครั้งศิลปะคือหัวใจของทุกอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ขอให้ใช้มันให้เป็น เป็นพื้นฐาน ผมใช้ศิลปะเชื่อมโยงชีวิตของผมกับการงานในทุกสิ่งทุกอย่างได้
การที่ผมเกิดมาเป็นลูกชายอาจารย์ถวัลย์ ก็เหมือนกับลูกของพ่อคนอื่นๆ ที่สำคัญคือทำหน้าที่ของการเป็นลูกด้วยการตอบแทนบุญคุณ รวมถึงทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ ผมไม่ได้คิดว่าพ่อตัวเองเป็นผู้วิเศษ แต่ผมมองผลงานที่พ่อทำไว้ต่างหากที่วิเศษที่สุด แต่จะทำอย่างไรจึงจะเจริญงอกงามได้ ก็คือศึกษาทุกสิ่งที่พ่อทำแล้วต่อยอดให้เกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น เมื่อถึงวันที่ผมต้องจากไปจนวินาทีสุดท้าย ผมก็ไม่สามารถนำติดตัวไปด้วยได้ มีแต่ความรู้สึกภาคภูมิใจว่าเราได้ทิ้งสิ่งดีๆ ไว้ให้กับโลกใบนี้
...ผมไม่สนใจว่าพ่อทิ้งทรัพย์สมบัติอะไรไว้ให้ผม ส่วนทรัพย์สินที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม มรดกทางปัญญาผมก็จะสานต่อให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป ที่สำคัญทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมตั้งใจทำมาทั้งหมดนั้น ด้วยความหวังว่าคนจะไม่ลืมพ่อของผม...ถวัลย์ ดัชนี.