แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : สาธารณสุขแอลเอ แถลงข่าวร้าย พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ รายแรกในแอลเอ เคาน์ตี้ แล้ว ในวันที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมผ่าน “หลักล้าน”
เมื่อวันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2021 สำนักงานสาธารณสุขของแอลเอ เคาน์ตี้ แถลงข่าวว่ามีการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ เป็นรายแรก โดยผู้ติดเชื้อเป็นเพศชาย โดยผู้ติดเชื้อรายนี้เดินทางไปยังรัฐโอเรก้อนก่อนทราบผลการตรวจ และขณะนี้อยู่ระหว่างกักตัวที่นั่น
แม้จะเพิ่งมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์เป็นรายแรก แต่สาธารณสุขของแอลเอ เคาน์ตี้ เชื่อว่าไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้ได้แพร่กระจายอยู่ในชุมชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าไวรัสกลายพันธุ์ มีส่วนทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อในช่วงฤดูหนาว (winter surge) เพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงหน้าร้อนกว่า 5 เท่าก็ตาม
“ไวรัสกลายพันธุ์แบบที่พบในสหราชอาณาจักรคือปัญหาแน่นอน โดยเฉพาะในตอนที่บุคลากรทางการแพทย์ของเรากำลังมีงานล้นมือกับการดูแลผู้ป่วยมากกว่า 7,500 คนในโรงพยาบาล” ดร.บาร์บาร่า เฟอร์เรอร์ หัวหน้าสำนักงานสาธารณสุขของแอลเอ เคาน์ตี้ กล่าวเมื่อวันที่ 18 มกราคม
ทั้งนี้ ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐฯ (ซีดีซี) ระบุว่า ไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ ซึ่งเรียกว่า VOC-202012/01 หรือ ‘B.1.1.7 นั้น มีการกลายพันธุ์บริเวณหนามโปรตีน (สไปก์ โปรตีน) ที่ช่วยในการยึดจับกับเซลล์ของมนุษย์ ทำให้สามารถแพร่กระจายได้รุนแรงมากขึ้น และง่ายสำหรับการติดเชื้อในสถานที่ทำงาน ร้านค้า หรือกระทั่งในบ้าน
นอกจากนี้ ซีดีซี ยังได้ออกประกาศเตือนเมื่อวันศุกร์ที่ 15 มกราคม ด้วยว่า จะมีผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเชื้อไวรัสโควิด-19 หลักที่ระบาดในอเมริกา (the dominant version in the U.S.) ภายในเดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ดี ซีดีซี ยืนยันว่ายังไม่มีหลักฐานใดๆ ระบุว่าไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์จะมีอันตรายกับผู้ติดเชื้อมากกว่าไวรัสดั้งเดิม อีกทั้งยืนยันว่าไวรัสป้องกันโควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 กลายพันธุ์ ได้
ไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้ พบครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2020 ที่ประเทศอังกฤษ ก่อนจะแพร่กระจายไปในหลายภูมิภาคทั่งโลก รวมถึงสหรัฐฯ และแคนาดา ด้วย โดยในสหรัฐฯ นั้น พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์รายแรกที่รัฐโคโลราโด้ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2020 เป็นเพศชายอายุ 20 ปีเศษๆ และไม่มีประวัติการเดินทางออกนอกพื้นที่
จากนั้น วันที่ 30 ธันวาคม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย แถลงว่าพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์รายแรกของรัฐ โดยผู้ติดเชื้อเป็นชาย วัย 30 เศษๆ อาศัยอยู่ในซานดิเอโก้ เคาน์ตี้ และไม่มีประวัติเดินทางออกนอกพื้นที่ของตัวเองเช่นกัน จากนั้นในวันรุ่งขึ้น สำนักงานสาธารณสุขของซานดิเอโก้ เคาน์ตี้ แถลงว่าพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์อีกสามคน โดยสองในสามไม่มีประวัติการเดินทางออกนอกพื้นที่
และเมื่อต้นเดือนมกราคม สำนักงานสาธารณสุขของซานตา บาร์บาร่า แถลงว่าพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ถึงสองรายพร้อมกัน โดยรายแรกเพิ่งกลับจากอังกฤษ และเป็นผู้แพร่เชื้อให้กับผู้ติดเชื้อรายที่สอง ซึ่งสองอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน
ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของ แอลเอ เคาน์ตี้ ในวันเสาร์ที่ 16 มกราคม อยู่ที่ 14,669 ราย ทำให้ยอดสะสมของผู้ติดเชื้อทั้งหมดอยู่ที่ 1,003,923 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในวันนั้น 253 ราย ทำให้ยอดสะสมของผู้เสียชีวิตเพราะโควิด-19 อยู่ที่ 13,741 ราย
ข่าวบอกด้วยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในแอลเอ เคาน์ตี้ยังคงอยู่ในขั้น “วิกฤต” เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ และจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วเคาน์ตี้ ยังคงสูงมาก ขณะที่การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชน ยังอยู่ในระยะแรก คือการฉีดให้กับบุคคลากรทางการแพทย์และผู้อยู่ในสถานพักฟื้น, บ้านพักคนชรา ซึ่งมีมากกว่า 800,000 คน ถือว่าล่าช้ากว่ากำหนด ทำให้ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) ซึ่งมีมากกว่า 1.3 ล้านคน ต้องรอการฉีดวัคซีนไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ หรือล่าช้ากว่ากำหนดเดิมถึงกว่า 2 สัปดาห์
สำนักงานสาธารณสุขของ แอลเอ เคาน์ตี้ ยังคงขอร้องให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่การใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ฯลฯ และที่เป็นปัญหาที่สุดคือการไปร่วมกิจกรรมสังคม หรือกิจกรรมสังสรรค์ต่างๆ ซึ่งถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน ในแอลเอ เคาน์ตี้ ยังคงสูงอยู่เช่นนี้.