แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : รองประธานาธิบดี “คามาล่า แฮร์ริส” และ “ทิม คุ๊ก” ซีอีโอของแอปเปิล ร่วมต้านกระแสเหยียดคนเอเชีย ที่กำลังเชี่ยวกราก ขณะกลุ่มผิวดำ และเอเชียกว่า 500 คน ร่วมชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ “วิชา รัตนภักดี” และเหยื่อรายอื่นๆ ที่โอ๊คแลนด์
ทิม คุ๊ก ผู้บริหารของบริษัทแอปเปิล ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในย่านซิลิคอลแวลเล่ย์ ห่างจากซานฟรานซิสโก เพียง 41 ไมล์ ได้ทวีตข้อความเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ แสดงเจตนารมณ์ต่อต้านเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นกับคนเอเชียในซานฟรานซิสโก เบย์แอเรีย โดยระบุว่าเขาพร้อมจะบริจาคเงินสนับสนุนกลุ่มที่ทำงานด้านนี้ด้วย
“เหตุรุนแรงต่อชุมชนชาวเอเชียที่เพิ่มขึ้น คือความเจ็บปวดและเป็นการเตือนถึงความเร่งด่วนที่เราต้องร่วมกันต่อต้านพฤติกรรมเหยียดเชื้อชาติในทุกรูปแบบ ไม่มีที่ว่างสำหรับความเกลียดชังในสังคมของเรา ทีมงานที่แอปเปิลจะยืนหยัดร่วมกันและเราจะบริจาคให้กับกลุ่มที่ทำงานช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ด้วย” ข้อความในทวิตเตอร์ของทิม คุ๊ก ระบุ
ท่าทีดังกล่าวของ ทิม คุ๊ก มีขึ้นหลังจากมีเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายชาวเอเชียโดยไม่มีการยั่วยุ เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในย่านเบย์แอเรียของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งข้อมูลจากสำนักงานอัยการเขต อลามีด้า ระบุว่าในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ทำร้ายชาวเอเชียในย่านไชน่าทาวน์ของเมืองโอ๊คแลนด์ มากกว่า 20 คดี
และหนึ่งในการลงมือทำร้ายชาวเอเชียโดยไร้เหตุผลดังกล่าว ส่งผลให้นายวิชา รัตนภักดี ชาวไทยวัย 84 ปีในเมืองซานฟรานซิสโก ได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตด้วย
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ รองประธานาธิบดี คามาล่า แฮร์ริส ได้ทวีตข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน โดยระบุว่ารัฐบาลชุดนี้จะอุทิศตัวทำงานต่อสู้กับพฤติกรรมเหยียดผิวและความไม่เท่าเทียมกันอย่างเต็มที่
“คดีเหยียดผิวและเหตุรุนแรงต่อชาวเอเชียอเมริกันและผู้อพยพชาวเอเชียพุ่งสูงมากขึ้นในช่วงเกิดโรคระบาด นั่นคือเหตุผลที่ว่าคณะทำงานของเราต้องพูดถึงการทำร้ายร่างกายเพราะสาเหตุของความเกลียดและกลัวคนต่างชาติ (xenophobic attacks) เราจำเป็นต้องอุทิศตัวเพื่อต่อสู้กับการเหยียดผิวและความไม่เท่าเทียมอย่างจริงจังต่อไป”
ข่าวระบุว่าคดีรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวเอเชียทั่วประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ในสหรัฐฯ โดยสาเหตุสำคัญมาจากคำพูดของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่กล่าวโทษว่าประเทศจีนและคนจีนเป็นสาเหตุของวิกฤตครั้งนี้ อีกทั้งเจตนาใช้คำเรียกโควิด-19 แบบเหยียดชาติว่า “ไชน่าไวรัส” และ “กังฟูไวรัส” ตลอดเวลาอีกด้วย