ซีเอ็นเอ็น รายงานข่าวเมื่อวันที่ 21 มีนาคม อ้างผลการวิเคราะห์ของ Evercore ISI ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนรายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ระบุว่าปริมาณการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทที่ได้รับอนุญาตทั้งสามแห่งในสหรัฐฯ คือไฟเซอร์-บิออนเทค, โมเดอร์นา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะเพิ่มขึ้นเป็น 132 ล้านโดส นับจากเดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป ถือว่าเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าของจำนวนวัคซีนที่ผลิตได้ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อให้ทันกับแผนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วประเทศของรัฐบาล
ข่าวบอกด้วยว่า การเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนของบริษัททั้งสามแห่งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในด้านต่างๆ ผ่านกฎหมาย Defense Production Act หรือ DPA ซึ่งที่ผ่านมา คณะทำงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ใช้กฎหมายดังกล่าวเพื่อจัดสรรงบประมาณ 105 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยให้บริษัทเมอร์ค แอนด์ โค สามารถดำเนินการผลิตวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และเร่งจัดส่งวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต
ข่าวการเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนดังกล่าวมาพร้อมกับข่าวยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ในสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 6,390 ราย โดยให้รายละเอียดว่าในบรรดาไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ทั้งหมดนั้น สายพันธุ์ B.1.1.7 ซึ่งตรวจพบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุด คือกว่า 6,000 ราย ตามด้วยสายพันธุ์ B.1.351 ซึ่งตรวจพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ จำนวน 194 ราย และสายพันธุ์ P.1 ซึ่งตรวจพบครั้งแรกในบราซิล จำนวน 54 ราย
นอกจากนั้น ยังมีการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B.1.427 และสายพันธุ์ B.1.429 ที่ตรวจพบครั้งแรกในรัฐแคลิฟอร์เนียด้วย และ ซีดีซี กำลังจับตาไวรัสกลายพันธุ์ชนิดใหม่นี้อย่างใกล้ชิด
ซีดีซี ระบุว่ามีความวิตกกังวัลกับเชื้อกลายพันธุ์ทั้ง 5 สายพันธุ์ เพราะมีหลักฐานชี้ว่าแพร่ระบาดง่ายขึ้น หากไม่มีมาตรการการควบคุมที่ดี จะทำจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาล และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ลดประสิทธิภาพการลบล้างฤทธิ์ของแอนติบอดีที่เกิดจากการติดเชื้อหรือฉีดวัคซีนลง อีกทั้งลดประสิทธิภาพการรักษาหรือวัคซีน หรือทำให้การตรวจวินิจฉัยล้มเหลว
อย่างไรก็ดี ซีดีซี มีความเชื่อมั่นว่า มาตรการป้องกันต่างๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น การใช้หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง ล้างมือให้สะอาด และฉีดวัคซีนอย่างทันท่วงที จะช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 และเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์ได้.