การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ทุกหมู่เหล่าแต่อดีตกาลถึงปัจจุบันนี้ ย่อมต้องมีการทำข้อตกลงของคนที่อยู่ร่วมกันในรูปแบบต่างๆเช่น กฎหมาย ระเบียบ วินัย ประเพณี เป็นการเฉพาะ เพื่อให้สมาชิกที่อยู่ร่วมกันประจำกลุ่ม ประจำเผ่า ประจำรัฐ ประจำชาติพันธุ์ได้ปฏิบัติร่วมกันเพื่อสันติสุข ของหมู่คณะ ของกลุ่มหรือขององค์กรนั้นๆ กฎแบบนี้เรียกว่า เป็นกฎสมมติ ตั้งขึ้นได้ยกเลิกได้ตามความจำเป็น กฎเกณฑ์ใดที่ช่วยเหลือ กลุ่มนั้นๆให้ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีความสุขสมาชิกได้ประโยชน์ร่วมกัน กฎเกณฑ์นั้นก็ต้องอยู่ต่อไป แต่กฎเกณฑ์ใดที่ไม่มีประโยชน์ไม่อุปถัมภ์ค้ำจุนให้ชนกลุ่มนั้นอยู่ร่วมกันด้วยสันติสุขกฎนั้นๆจะถูกยกเลิกได้ในเวลาใดเวลาหนึ่ง
แต่ยังมีกฎอีกประเภทหนึ่งที่เป็นกฎสากล เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีใครตั้งขึ้นและไม่มีใครยกเลิกได้เรียกว่า เป็นกฎแห่งธรรม หรือ กฎแห่งธรรมชาติ มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ ไม่ว่าจะแตกต่างกันโดยเชื้อชาติ ความเชื่อ ผิวพันธุ์ เพศ เผ่าพันธุ์ ย่อมต้องดำเนินไปตามกฎนี้อย่างเท่าเทียมกัน จะเรียกกฎนั้นๆว่า เป็นกฎธรรมชาติ หรือ กฎแห่งธรรมก็ได้ เพราะ เป็นกฎแห่งความจริงที่ไม่มีใครตั้งขึ้นและไม่มีใครยกเลิก นานแค่ไหนก็คงความจริงอยู่เช่นนั้น ถ้าจะประมวลกฎแห่งธรรมตามที่ปรากฏในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่มีในที่ต่างๆด้วยภาษาที่เข้าใจกันได้จะมีดังนี้
1. กฎธรรมชาติ คือ ความเกิด แก่ เจ็บ และ ตาย กฎนี้เป็นกฎสากลใช้กับมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มนุษย์ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎธรรมชาตินี้ในแต่ละขั้นตอนจึงจะมีชีวิตรอด เช่น หิวต้องรับประทาน เมื่อรับประทานอาหารเต็มท้องต้องถ่ายออก ต้องหายใจเข้า แล้วหายใจออกตลอดเวลาเป็นต้น และสุดท้ายชีวิตของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนพาล หรือ เป็นบัณฑิต ชนชั้นสูงหรือชนชั้นต่ำ คนรวยหรือคนจน คนสวย หรือ คนขี้เหร่ สุดท้ายก็แก่ เจ็บและตาย อย่างเท่าเทียมกัน กฎข้อนี้ไม่ต้องตั้งขึ้นไม่ต้องยกเลิก แต่เป็นจริงและทำหน้าที่แบบนี้ตลอดมาและตลอดไป
2. กฎแห่งความเปลี่ยนแปลง คือ กฎอนิจจัง ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ทุกขัง ทนอยู่ไม่ได้ต้องแปรปรวนไปตามแรงขับแห่งความไม่เที่ยงและไม่แน่นอน เมื่อไม่เที่ยงและไม่แน่นอน ขอร้องไม่ได้ บังคับไม่ได้ ห้ามปรามไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจใคร ไม่เป็นขี้ข้าใคร ไม่เป็นทาสใคร ไม่เป็นนายใคร ไม่เป็นอะไร แต่เป็น อนัตตา กฎนี้เป็นกฎแห่งธรรม เพราะเป็นความจริงแท้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระตถาคตจะอุบัติขึ้นมาในโลก หรือ ไม่อุบัติขึ้นมาในโลก กฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา มีอยู่แล้ว ตถาคตเป็นผู้ค้นพบ เปิดเผย ทำให้แจ้ง ประกาศแสดงกฎนี้เท่านั้น วิถีแห่งกฎธรรมชาติ คือ ความเกิด แก่ เจ็บ และตาย ล้วนมีความสัมพันธ์กับกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างแนบแน่น การเกิด ก็มาจากความเปลี่ยนแปลง การดำรงอยู่เช่นการหายใจเข้า และหายใจออก การขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะ และความเปลี่ยนแปลทุกเซลล์ของร่างกายที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ล้วนเป็นปรากฏการณ์ แห่งความเปลี่ยนแปลง ความแก่ เจ็บ และตาย ล้วนแสดงความเปลี่ยนแปลงของชีวิตอย่างประจักษ์ชัด ไม่มีสัตว์หรือบุคคลใดๆจะหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงได้
3. กฎแห่งเหตุปัจจัย คือ การเกิดขึ้นและตั้งอยู่แห่งสรรพสิ่ง ล้วนต้องอาศัยการผสมผสานกันระหว่างสิ่งต่างๆ ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นลอยๆได้ หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กฎอิทัปปัจจยตา คือ อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆเดี่ยวๆ เช่น ชีวิต ต้องประกอบด้วยธาตุ 6 คือ ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสธาตุ วิณญาณธาตุ รวมตัวเข้าอย่างสมดุล แต่เมื่อไรการรวมตัวนี้เสียดุลย์ ย่อมแตกสลายรวมตัวกันไม่ได้ แต่ละธาตุ ต่างกลับไปสู่วิถีแห่งตน ชีวิตนี้ประกอบด้วยนามและรูป พระพุทธเจ้าตรัสว่า นามอาศัยรูป รูปอาศัยนาม กายอาศัยจิต จิตอาศัยกาย ต่างฝ่ายต่างอิงอาศัยซึ่งกันและกัน เรียกภาษาธรรมะว่า เป็นกฎอิทัปปัจจยตา กฎแห่งเหตุปัจจัย กฎแห่งปฎิจจสมุปบาท หรือ จะเรียกแบบศัพท์วิทยาศาสตร์ว่า กฎแห่งสัมพันธภาพ คือ กฎความสัมพันธ์แห่งสรรพสิ่ง อันก่อให้เกิดปราฏการณ์ต่างๆ ทั้งที่เป็นผลแห่งกฎธรรมชาติและเป็นสิ่งที่มนุษย์เลียนแบบได้บางสิ่งบางอย่างเช่นใช้กฎแห่งเหตุปัจจัย สร้างสรรรค์สิ่งต่างๆมาเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ของมนุษย์ เช่นไฟฟ้า วิทยุ โทรทัศน์ พัดลม โทรศัพท์ ล้วนสร้างขึ้นมาจากหลักการแห่งเหตุปัจจัย ที่มาประกอบกันเข้าอย่างสมดุลย์ ถ้าขาดปัจจัยใดๆ สิ่งนั้นจะใช้งานไม่ได้ทันทีเช่นหากเครื่องโทรศัพท์ขาดไฟฟ้า จะยุติการทำงานทันที พอๆกับมนุษย์มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม แต่เมื่อขาดลมหายใจ การมีชีวิตก็ยุติลงเช่นเดียวกัน
4. กฎแห่งกรรม คือ กฎแห่งการกระทำ ผลที่ออกมาต้องตรงกับเหตุเสมอ ไม่มีผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่น ดั่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า หว่านพืชนเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น ทำดี ดี ทำชั่วๆ ชั่ว ผลที่ออกมาล้วนตรงกับเหตุเสมอ รับประทานอาหารก็อิ่ม เมื่อขาดอาหารก็หิว เมื่อโกรธจิตใจเร่าร้อน เมื่อเมตตา จิตใจเย็น ปลูกต้นไม้ชนิดใด ผลชนิดนั้นต้องออกมาจากต้นไม้ต้นนั้น ไม่เป็นผลไม้อย่างอื่น ต้นทุเรียนจะไม่ออกผลมาเป็นเงาะเด็ดขาด ต้นลางสาดจะไม่มีวันออกผลมาเป็นมังคุดแน่แท้ กฎแห่งกรรม เป็นกฎธรรมชาติ เป็นกฎสากล ผลย่อมออกมาตรงกับเหตุเสมอ หากผลของการกระทำใดๆออกมาไม่ตรงกับเหตุ แสดงว่า การสร้างเหตุ ต้องผิดพลาด หรือ สร้างเหตุถูกแล้ว และ ผลก็ออกมาถูกแล้ว แต่คนยังไม่เข้าใจผลที่ออกมาตามความเป็นจริง เข้าใจผิดบิดเบือนไปตามกิเลสที่บดบังใจมิให้เข้าถึงความจริงนั้นๆ
กฎแห่งธรรม เป็นกฎที่ยิ่งใหญ่กว่ากฎทั้งหลายในโลกนี้ เรียกว่า เป็นกฎครอบจักรวาลก็ไม่ผิดเลย เพราะดาวทุกดวงในจักรวาลต่างๆล้วนเดินตามกฎเหล่านี้ทั้งหมด ดาวทุกดวงจะมีอายุมากหรือน้อย แตกต่างกัน แต่ข้อยืนยันจากนักดาราศาสตร์ทั้งหลายยืนยันตรงกันว่า มีลักษณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามหลักแห่งสังขารธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วล้วนดับไป อะไรที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย คือ มีองค์ประกอบตั้งแต่หนึ่งสิ่งขึ้นไปล้วน เกิดแล้วดับไปทั้งสิ้น นี่ คือ กฎแห่งความจริงที่ไม่มีใครแก้ไขได้ ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎแห่งธรรมอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะโดยความรู้หรือไม่รู้สึกตัวก็ตาม กฎแห่งธรรมคือ กฎที่นำความเท่าเทียมกันมาสู่มนุษย์อย่างที่กฎอื่นๆไม่มีให้ กฎแห่งธรรม และกระบวนการทุกอย่างแห่งธรรมชาติจึงเป็นกระบวนการที่ยุติธรรมที่สุด
วันที่ 31 มีนาคม 2564 เวลา 5.46 น.
ดร.พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา