สารพัดสารพันกับวัลลภา โดย...วัลลภา ดิเรกวัฒนะ
สตีฟ อาร์โนลด์ ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน อดีตนายแบบและนักร้องวงโอโซน ปัจจุบันใช้ชื่อว่า สตีฟ สกายเลอร์ ก่อตั้งบริษัทด้านดนตรีครบวงจรที่นครลอส แอนเจลิส รับทำมิวสิควิดีโอ โฆษณา แต่งเพลง เนื้อร้อง ทำนอง เรียบเรียงเสียงประสาน และกำลังจะกำกับภาพยนตร์ 2-3 เรื่อง อีกทั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายผลงานศิลปะของปิกัสโซ โมเน่ และผลงานศิลปะร่วมสมัย...
เมื่อปี 2007 ขณะที่สตีฟอายุ 23 ปี ได้เข้าประกวด มิสเตอร์เอเชีย ยูเอสเอ ของสมาคมนิสิตเก่าเกษตร แคลิฟอร์เนีย ได้ตำแหน่งรองชนะเลิศและขวัญใจสื่อมวลชน...
สตีฟให้สัมภาษณ์ว่า ...ผมเกิดที่เมืองไทย พ่อเป็นชาวปักษ์ใต้ รับราชการใช้ชื่อฝรั่งว่า จอห์นนี่ ทำงานในค่ายอพยพ แม่เป็นอเมริกันชื่อ จูดี้ ชาวแมรี่แลนด์ ก่อนหน้าที่แม่พบกับพ่อ แม่เลิกกับสามีอเมริกันชื่อ คาร์ล มีลูกด้วยกัน 3 คน ลูกชายสองลูกสาวหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะหย่าขาดกันแล้ว แต่ก็ไปทำงานเป็นอาสาสมัครอยู่ในค่ายอพยพที่เมืองไทย แห่งเดียวกับพ่อไทยของสตีฟ แล้วแม่กับพ่อก็แต่งงานอยู่ด้วยกันพักหนึ่ง พอมีสตีฟก็เลิกกัน ต่อมาแม่กลับไปคืนดีกับอดีตสามีคือ คาร์ล มีลูกสาวอีกสองคน บวกสตีฟอีกหนึ่งคน รวมทั้งหมดเป็น 6 คน
สตีฟมาอเมริกาครั้งแรกพร้อมกันทั้งครอบครัวเมื่ออายุ 5 ขวบ ไปเยี่ยมญาติแม่ที่แมรี่แลนด์ พ่อแม่อยู่ที่เมืองไทย 20 ปี พี่ชายคนโตกับคนที่สองเกิดที่อิตาลี พี่สาวคนที่สามเกิดที่ฝรั่งเศส สตีฟกับน้องสาวอีกสองคนเกิดเมืองไทย ทุกคนหน้าเป็นฝรั่งยกเว้นสตีฟคนเดียว
ตอนนี้พ่อแม่อยู่แอลเอ พี่ชายคนโตอยู่กรุงเทพฯ เปิดโรงเรียนนานาชาติเกศินี เมื่อก่อนทำงานอาสาสมัครช่วยรัฐบาล ช่วยเด็กกำพร้า พี่คนนี้รักเมืองไทยมาก หน้าฝรั่งแต่พูดไทยชัดแจ๋ว ไม่ยอมกลับอเมริกา บอกว่าเขาเป็นคนไทย นิสัยเรียบร้อยเหมือนคนไทย
ตอนที่สตีฟ อายุ 7 ขวบ ถามแม่ว่าทำไมหน้าสตีฟไม่เหมือนพี่น้อง ไม่เข้ากันเลย เหมือนอยู่คนเดียว แม่ก็บอกความจริง แต่พ่ออเมริกันพยายามให้รู้สึกตลอดเวลาว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน พ่อคาร์ลสอนว่าไม่เกี่ยวว่ามาจากใคร มันเกี่ยวกับคนที่ดูแล พ่อแสดงตลอดเวลาว่ารักสตีฟเหมือนลูกแท้ๆ ให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษจนพี่น้องทุกคนอิจฉา
แม่พาไปหาพ่อไทย ก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนไม่ใช่พ่อ อยู่กับพ่อแค่สองวันก็กลับบ้าน เจออีกครั้งตอนอายุ 13 ปี พ่อเคยติดต่อมาว่าอยากพบ แต่สตีฟไม่ว่าง จริงๆ แล้ว สตีฟอยากใช้นามสกุลพ่อ อยากได้สัญชาติไทย ความรู้สึกตอนที่พบพ่อสองครั้ง ไม่เข้าใจและสับสน ในใจคิดว่าพ่ออเมริกันรักก็พอ สตีฟรับเป็นพ่อแท้ๆ จนรักคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว แต่ถ้าพ่ออเมริกันไม่ให้ความรัก ก็อาจจะโหยหาจากพ่อไทยก็เป็นได้
พ่ออเมริกันคุยกับสตีฟทุกเรื่อง ไม่ว่ามีปัญหาอะไร ไม่เคยดุด่า จะปล่อยให้สตีฟลองทำไปก่อน แล้วสอนทีหลังว่าไม่ถูก ความผูกพันกับแม่ยังน้อยกว่าพ่อ แม่รักน้องสาวสองคน พ่อกับแม่มีนิสัยแบบคนไทยคือเกรงใจ ลูกทุกคนก็เลยมีนิสัยเหมือนกัน แม่จะเลือกสิ่งที่ดีของอเมริกันกับสิ่งดีของไทยผสมกันเวลาสอนลูก แบบอเมริกันให้รู้จักรับผิดชอบ ดูแลตัวเอง มั่นใจในตัวเอง มีเหตุผล แบบไทยให้มีมารยาท ลูกทุกคนจึงมีสองแบบในตัว
ตอนที่จำความได้ไม่เคยไปโรงเรียน พ่อแม่ทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยเด็กชนบทที่มีปัญหา เด็กในสถานพินิจ เล่นละครเวทีต่อต้านยาเสพย์ติด ร่วมกับอาสาสมัครคนอื่นๆ ไปแสดง ไปพูดตามโรงเรียนในชนบทตั้งแต่อายุ 4 ขวบถึง 15 ปี ตระเวณไปทั่ว เหมือนพวกละครเร่
เคยคิดว่าแตกต่างจากเด็กไทย แต่ไม่ใช่ว่าคนอื่นไม่ดี การเรียนด้วยตัวเอง ต้องมีสมาธิ แบ่งเวลาเรียน ทำกับข้าว อาจารย์มาสอนถึงบ้าน บางครั้งเพื่อนก็มานั่งเรียนด้วย ตอนสอบก็หนักเหมือนกัน พี่น้องทุกคนเรียนทางไปรษณีย์จนจบไฮสกูล บางครั้งมีความรู้สึกว่าแปลกแยกจากคนอื่น ต้องย้ายไปตามจังหวัดต่างๆ อุดร หนองคาย ขอนแก่น ระยอง ย้ายทีก็ไปเป็นขบวน เวลาสอบก็ไปสอบที่ห้องในสถานทูต จบไฮสกูลเข้าเรียนที่เอแบ็ค วิชาบริหารธุรกิจ เรียนได้สองปียังไม่จบ ต้องมาเรียนต่อที่อเมริกา
สตีฟเคยไปเรียนที่โรงเรียนดอนบอสโก 6 เดือน ไม่รู้เรื่องเลย ฟังแล้วงง ต้องกลับมาเรียนเองที่บ้าน ส่วนดีก็คือ มีเวลาให้ตัวเองมาก ได้เล่นดนตรี ตีกลอง เล่นกีต้าร์ เล่นกีฬา แต่จะอยู่กับตัวเอง มีเพื่อนแค่คนสองคน ได้พูดภาษาไทยกับเพื่อนบ้านเท่านั้น
สตีฟเริ่มเป็นนายแบบที่เมืองไทยตั้งแต่อายุ 15 ปี ขณะที่เดินอยู่ข้างถนน มีคนชวนให้ไปถ่ายแบบ ก็ไปลอง ประกวดหนุ่มแพรว ติดหนึ่งในห้า จากนั้นก็ถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบ เดินแฟชั่น ตอนเด็กชอบร้องเพลง เล่นดนตรี ฝันอยากเป็นนักร้อง ชอบวงโลโซ สตีฟลองร้องเพลงไทยแต่ไม่ดีนัก เพราะภาษาไทยไม่แข็งแรง เคยแสดงละครครั้งเดียวที่ช่องห้า ภาษาก็ไม่แข็งแรงอีกเหมือนกัน
วงโอโซนจัดคอนเสิร์ตมากมาย แต่เวลาขึ้นเวทีเหมือนไม่มีอะไรเลย เพลงช้า เต้นไม่เต็มที่ ไม่ถูกใจก็ไปซ้อมเอง เดินแบบบ้าง ทำกับเพื่อนบ้าง เวลาเดียวกันพ่อแม่ย้ายมาอยู่แอลเอ ก็คิดว่าพอแล้ว ต้องย้ายมาสานฝันต่อจากที่อยากทำให้ประสบความสำเร็จให้ได้
สตีฟอยู่แอลเอได้หนึ่งปี แรกๆ ซื้อหนังสือที่มีชื่อผู้จัดการ มีที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ก็ไปติดต่อ สองแห่งไม่รับ บอกว่าสตีฟไม่ใช่สไตร์ที่เขาต้องการ แห่งที่สามให้ไปถ่ายรูป ก็ทำงานกับเขาต่อมาเรื่อยๆ ชื่อค่ายวอร์นนิ่ง ถ่ายโฆษณา เดินแฟชั่น มีบางคนมาอยู่อย่างไม่มีความฝัน สบายๆ ออกงานตลอด ไปโชว์ตัว ต้องสู้จริงๆ จนเหนื่อย นอนวันละห้าชั่วโมง กลางวันไปถ่ายแบบ ตอนเย็นไปสตูดิโอ
ที่ชอบเป็นนายแบบเพราะพบคนมาก ทำให้มองเห็นความแตกต่างของชีวิตแต่ละคน จุดมุ่งหมายของสตีฟคือออกอัลบั้มชุดที่สอง ชุดแรกของค่ายแกรมมี่ วงโอโซน แล้วก็ทำเดี่ยว ที่นี่ทั้งถ่ายแบบแล้วก็ทำอัลบั้ม เป็นเพลงภาษาอังกฤษทั้งหมด และตั้งใจจะแสดงภาพยนตร์
ตลอดเวลาที่ผ่านมา คิดว่าตัวเองเป็นคนไทย นิสัยแบบคนไทย ใช้ชีวิตที่เมืองไทยนานที่สุด แต่ก็ฝึกเป็นฝรั่งได้ มีหลายอย่างไม่ค่อยชอบที่นี่ ตรงที่เด็กๆ ไม่ค่อยรู้จักกาละเทศะ มีเสรีมากเกินไป เขาจะคุยมาก จะทำตรงนั้นตรงนี้ แต่จริงๆ ไม่ทำ แม้แต่โปรดิวเซอร์ก็เหมือนกัน จะทำตรงนี้ให้ ก็ไม่มี พูดอย่างเดียวไม่ทำ สิ่งที่ดีคือทำให้สตีฟเข้มแข็งขึ้น ดำเนินชีวิตเอง ที่เมืองไทยดีตรงคนไทยใจดี มีมารยาท ที่ไม่ดีคือชอบบังคับเด็กเรื่องเรียน ให้ทำตามที่พ่อแม่ต้องการ ทำให้เด็กไม่มีความสุข รู้สึกเหมือนไม่ใช่ชีวิตของเขา สตีฟอยากให้พ่อแม่คุยกับลูก เวลาลูกมีปัญหา ให้คำปรึกษาทุกเรื่อง ไม่ใช่ดุหรือสอนตลอด ควรฟังลูกว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
ขอแนะนำเด็กที่อาจมีชีวิตเหมือนสตีฟ พยายามหาตัวเองให้มากที่สุด ควรหาความสุขให้กับตัวเองอย่างเช่นชอบดนตรี ก็มุ่งไปทางนั้นทำให้ลืมเรื่องที่เป็นปมทั้งหมดได้ เวลาคนมาพูดคุยจะได้ระบายออก
ทัศนะเรื่องผู้หญิง สมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว ที่ผู้ชายจะต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ผู้หญิงเป็นแม่บ้านดูแลลูก ปัจจุบันผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชาย คิดว่าเป็นความเสมอภาคที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการหย่าร้างกันมาก ก็ไม่รู้ว่าถ้าสตีฟแต่งงานแล้วจะเป็นยังไง
ตอนที่อายุ 15 มีแฟนอายุ 21 ก็รักเขามาก ตอนนั้นเริ่มถ่ายแบบ ไปทำงานตลอด ไม่มีเวลาให้ พอเขาเห็นโฆษณาในทีวี มีผู้หญิงกอดสตีฟ เขาก็ร้องไห้ เลยเลิกกัน ต่อมาก็มีอีกสองสามคนก็รักเขามากเช่นกัน แต่คิดว่ายังไม่พร้อมที่จะมีแฟน ต้องหางานให้มั่นคงก่อน กลัวจะเสียเวลา ไม่คล่องตัว ทะเลาะกันก็เสียงาน มีเพื่อนที่เข้าใจกันดีกว่า ไม่ใช่มัวแต่ตามหึงหวง
สตีฟได้ความคิดว่า ถ้าจะเอาดีตามที่ฝันไว้ จะต้องไม่มีผู้หญิงอยู่ข้างๆ เกิดปัญหาตอนที่ชอบกับนางแบบ พอออกเทปปุ๊บก็มีแฟน บอกทุกคนว่าไม่ใช่แฟน ไม่มีใครเชื่อ เวลาถูกสัมภาษณ์ไม่มีใครถามว่าออกเทปชุดอะไร ไม่มีข่าวของวงโอโซนเลย ถามเรื่องแฟนตลอดว่าไปถึงไหนแล้ว แต่สตีฟไม่ว่านักข่าว ขอให้เขียนถึงเถอะ เขียนไม่ดีก็ไม่เป็นไร
พอมีแฟนงานก็จบ แล้วก็พลาดหลายครั้งจนต้องพอเสียที เคยอกหัก ถูกผู้หญิงสวยๆ ทิ้งสามครั้ง ร้องไห้อยู่รายละหกเดือนกว่าจะตัดใจได้ ในเมื่อยังไม่พร้อมแล้วมีแฟนก็พลาดโอกาสทั้งหมด ตอนนี้เข้มแข็งพอแล้ว ไม่มีอะไรที่จะทำให้เจ็บได้อีก โชคดีที่ได้เรียนรู้ ต้องติแม่ตรงที่ไม่เคยห้ามปรามเรื่องผู้หญิงเลยสักครั้ง ถ้าแม่ห้ามก็ต้องเชื่อ คงไม่เป็นอย่างนี้
สตีฟชอบผู้หญิงที่มีความเข้าใจกัน มีปัญหาก็คุยได้ทุกเรื่อง จะหาแบบเพื่อนที่อยู่กันได้ตลอด มีความเชื่อในเรื่องศาสนาเดียวกัน แต่สมัยนี้คงหายากน่าดู โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ทุกคนนึกถึงแต่ตัวเอง
สตีฟเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในชีวิตมากมาย ไม่ว่าจากประสบการณ์หรือเรื่องความรัก อยากจะบอกว่า เมื่อมีความฝันก็ไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ พบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องความรัก ไม่ใช่ว่าไม่ให้มี แต่ต้องไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับงานที่ทำ ระหว่างทางเดินสู่ความฝันให้เป็นคนดี ให้ความรักอย่างจริงใจกับทุกคน แต่อย่าให้คนใดคนหนึ่งมีอิทธิพลมาขวางทางงานที่กำลังจะก้าวต่อไปข้างหน้า ช่วงนั้นอาจพบคนที่ถูกใจจริงๆ ก็ได้ อย่าเลือกเพราะความสวยหรือมีสตางค์ ต้องเข้าใจกันแล้วเก็บเอาไว้ มาช่วยกันหาเงินทีหลัง นั่นคือวิธีดีที่สุด
ถ้าวันหนึ่งมีเงินเยอะๆ จะเปิดโรงเรียนให้กับชุมชนที่เมืองไทย เอาเงินหาได้ที่นี่กลับไปช่วยเมืองไทย เมื่อถึงวันที่สตีฟต้องจากโลกนี้ไป ก็เอาเงินติดตัวไปไม่ได้ และถ้าพ่อแท้ๆ ไม่มีใคร แล้วไม่สบาย สตีฟจะไปดูแลหรือไม่ก็พามาอยู่ด้วย แม้แต่พ่อแม่สตีฟเองก็ยินดีช่วย มีเพื่อนของน้องสาวหลายคนทะเลาะกับพ่อแม่ ก็มาพึ่งพิงที่บ้านของเราตลอด
อยากให้น้องๆ คนไทยที่นี่เก็บรักษานิสัยคนไทยที่เรียกว่าพิเศษมากเอาไว้ ฝรั่งเขาชื่นชอบ แต่อย่าถึงกับให้คนอื่นเอาเปรียบ จะเห็นว่าคนไทยมีจุดอ่อนตรงนี้ คนที่รู้จะถือโอกาส ขอให้เลือกใช้นิสัยที่ดีของเราอย่างชาญฉลาด จะก้าวหน้าไปได้ไกล ต้องเป็นคนที่จริงใจ เวลาเข้าทำงานให้เรียบร้อย พูดจากับผู้ใหญ่ด้วยความสุภาพแบบไทย แต่เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองแบบฝรั่ง
สตีฟยอมรับว่า การก้าวพลาดในเรื่องความรักที่เมืองไทยมีผลกระทบต่ออาชีพ ถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่ต้องขอมาเริ่มต้นใหม่ในฮอลลีวูด จากที่ได้รับการอบรมแบบไทยผสมอเมริกัน ทำให้เป็นชายหนุ่มที่สุภาพเรียบร้อยและอ่อนโยน ในเวลาเดียวกันก็มีความมั่นใจในตัวเองที่จะก้าวไปให้ถึงความฝันที่ตั้งไว้อย่างอดทน...
...ในที่สุด สตีฟ สกายเลอร์ ก็ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ทุกประการ นับเป็นตัวอย่างที่ดีและเป็นกำลังใจให้กับเยาวชนไทยได้ปฏิบัติตาม เพื่อเป็นหนทางไปสู่อนาคตสดใสที่รออยู่ข้างหน้า.
https://www.stevenskyler.com/music
https://www.secretskyproductions.com/