เว็บไซต์ BioRxiv ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข้อมูลทางการแพทย์ รายงานเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมว่า มีความเป็นไปได้ที่ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แบบโดสเดียวของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) อาจจำเป็นต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (booster) อีก 1 โดสเพื่อป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์ต่างๆ ซึ่งกำลังแพร่ระบาดทั่วโลกในขณะนี้
โดยข้อมูลจากการวิจัยของโรงเรียนแพทย์กรอสแมนแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ระบุว่า ตัวอย่างเลือดจากผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน มีภูมิคุ้มกัน (neutralizing antibody) ระดับต่ำมากในการป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา, เดลตาพลัส, เบตา และแลมบ์ดา จนอาจจะทำให้วัคซีนของ J&J มีประสิทธิภาพไม่ถึง 50% ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ต่างๆ เหล่านั้น
ทั้งนี้ จากการศึกษาร่วมกับวัคซีนโควิดชนิดอื่นๆ นั้น คณะนักวิจัยเชื่อว่า การจะทำให้ระดับภูมิคุ้มกันของกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนของจอห์นสันฯ เพิ่มขึ้นนั้น สามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนโดสที่สองด้วยวัคซีนของจอห์นสันฯ เอง หรือด้วยวัคซีนชนิด mRNA ของไฟเซอร์-บิออนเทค หรือของโมเดอร์นา
"ขณะที่การฉีดวัคซีนแบบโดสเดียวนั้นมีข้อดี แต่ประโยชน์ที่จะได้รับจากการฉีดวัคซีนโดสที่สองนั้นอาจจะคุ้มค่ามากกว่าความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น" คณะนักวิจัยกล่าว.