โดย: ภาณุพล รักแต่งาม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทาร์เก็ต ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอเมริกาได้ประกาศว่าจะนับจากนี้เป็นต้นไป ทาร์เก็ตจะไม่เปิดให้บริการในวันหยุดขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving day) และจะไม่มีกิจกรรมลดกระหน่ำแบบที่เรียกว่า “แบล็คฟลายเดย์” ในช่วงค่ำของวันพฤหัสฯ หรือเช้ามืดของวันศุกร์ เหมือนที่เคยจัดเป็นประเพณีต่อเนื่องมาเกือบ 20 ปีอีกต่อไป
โดยทาร์เก็ตเป็นห้างค้าปลีกขนาดใหญ่รายล่าสุดที่ประกาศปิดประตูร้านในวันขอบคุณพระเจ้า และยกเลิกกิจกรรมแบล็คฟลายเดย์ หลังจากที่ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่หลายรายได้ออกตัวไปก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเบสท์บาย, โฮมดีโพ, เจซีเพ็นนี, โคห์ลส์ (Kohl’s), วอลมาร์ท ฯลฯ และเชื่อว่าจะมีห้างร้านใหญ่ๆ ออกตัวตามมาอีกเป็นจำนวนมาก
ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของชาวอเมริกันอีกชนิดหนึ่ง ที่เป็นผลมาจากวิกฤตโควิด-19
แต่จะว่าไปแล้ว วิกฤตโควิด-19 เป็นเพียงตัวเร่งให้ธุรกิจ “แบบมีหน้าร้าน" เหล่านี้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นเท่านั้น เพราะปัญหาที่แท้จริงของธุรกิจขายปลีกอเมริกาในเวลานี้ คือการเผชิญหน้ากับธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ ที่แบ่งเปอร์เซ็นต์ยอดขายไปมหาศาล และทำให้การเปิดประตูในช่วงวันหยุด และช่วงเช้ามืด ซึ่งจะต้องจ่ายค่าแรงพนักงานในอัตรา “สามเท่า” เพื่อให้บริการนักช็อปที่ลดจำนวนลง จึงดูเหมือนไม่คุ้มค่าอีกต่อไป
นอกจากนี้ การเปิดให้บริการในช่วงวันหยุดแต๊งส์กีฟวิ่ง ซึ่งเป็นวันหยุดที่เกี่ยวข้องกับศาสนานั้น ทำให้ธุรกิจค้าปลีกเหล่านี้ถูก “กดดัน” อย่างหนักว่าเป็นการบังคับใช้แรงงานในช่วงที่แรงงานเหล่านั้นสมควรจะอยู่กับครอบครัวด้วย...
สาเหตุข้อหลังนี้ ทำให้องค์กรธุรกิจใหญ่ๆ บางแห่ง เช่นคอสท์โก้ และนอร์ดสตรอม ไม่เคยเปิดให้บริการในช่วงวันฮอลิเดย์มาก่อน
ภาพของบรรดานักช็อปผู้นิยมของถูกไปเข้าคิวยาวเหยียดหน้าร้านค้าปลีกใหญ่ๆ กันตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันขอบคุณพระเจ้าฯ บางรายมีถุงนอน หรือถึงขั้นกางเต้นท์เป็นเรื่องราว เพื่อรอช่วง “แบล็คฟรายเดย์” หรือภาพการวิ่งกรูเข้าไปแย่งชิงของที่หมายตา ทันทีที่ประตูร้านเปิด... กำลังจะหายไป หลังจากกลายเป็นเหมือน “ประเพณี” อย่างหนึ่งของชาวอเมริกันมานานเกือบ 20 ปี
ประวัติศาสตร์ 20 ปีของ “แบล็คฟรายเดย์”
แบล็คฟรายเดย์ กลายเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของเทศกาลจับจ่ายปลายปี หรือ “ฮอลลิเดย์ช็อปปิ้ง” ตั้งแต่เกือบ 20 ปีที่แล้ว หลังจากที่เชนร้านค้าปลีกหลายแห่งพร้อมใจกับจัดช่วงลดราคาในช่วงค่ำของวันพฤหัสฯ หลังจากครอบครัวอิ่มหนำกับดินเนอร์วันขอบคุณพระเจ้ากันแล้ว และทุกปีก็จะมีร้านค้าปลีกใหญ่ๆ เข้าร่วมกิจกรรมนี้มากขึ้น จนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า shopping tradition หรือประเพณีการจับจ่ายของขวัญของฝากช่วงเทศกาล รวมถึงการซื้อหาข้าวของเครื่องใช้ชิ้นใหญ่ๆ ที่ลดราคากันแบบกระหน่ำด้วย
แต่การมาของ อเมซอน (Amazon.com) โดยเฉพาะในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคอเมริกันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงการ “ล่าของลดราคา” ในช่วงเทศกาลปลายปี ที่อเมซอน จัดให้ผู้บริโภคเลือกซื้อหากันได้แบบสบายๆ ที่บ้าน ไม่ต้องไปทนหนาวเข้าคิวรอกันหลายชั่วโมงเหมือนเมื่อก่อน
การปรับตัวของร้านค้าปลีกแบบมีหน้าร้าน ในการต่อสู้กับอเมซอน และเว็บจำหน่ายสินค้าออนไลน์ทั้งหลายก็คือการจัดกิจกรรมลดราคาสินค้าแบบแบล็คฟรายเดย์ ตลอดสัปดาห์วันหยุดขอบคุณพระเจ้า (Black Friday Weekend) หรือบางแห่งเริ่มลดราคาสินค้าตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนเลยด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ของทางร้านให้มากขึ้น
ปีที่แล้ว ซึ่งธุรกิจค้าปลีกถูก “บังคับ” ด้วยวิกฤตโควิด-19 ให้งดเทศกาลแบล็คฟรายเดย์ นั้น ข้อมูลจากสมาพันธุ์ค้าปลีกแห่งชาติ (The National Retail Federation) บอกว่ายอดขายรวมทั่วประเทศในช่วงเทศกาล (พฤศจิกายนถึงธันวาคม) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านั้นประมาณ 8.2 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ไม่มีเทศกาลลดกระหน่ำอย่างแบล็คฟรายเดย์ มาล่อใจ
นอกจากยอดขายจะเพิ่มขึ้นแล้ว ค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าแรงคนงานในช่วงฮอลิเดย์ ที่ถูกตัดลงไปเป็นศูนย์ ก็น่าจะทำให้ผู้บริหารขององค์กรธุรกิจทุกแห่ง “แฮปปี้” กับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กันโดยถ้วนหน้าด้วย
โดยปีนี้ ทางสมาพันธุ์ค้าปลีกแห่งชาติ คาดการณ์ว่ายอดขายในช่วงเทศกาลจะเพิ่มระหว่าง 8.5-10.5 เปอร์เซ็นต์ เพราะสภาพเศรษฐกิจท่ีเคยซบเซาจากวิกฤตโควิด-19 เริ่มฟื้นกลับมาสู่สภาวะปกติแล้ว
“แบล็คฟรายเดย์” ที่กำลังจะหายไป ถือเป็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีการใช้ชีวิตของชาวอเมริกัน ตามวัฎจักรแห่งเวลาที่กำลังหมุนเวียนไป...