ในปีพุทธศักราช 2520 พระมหาเถระที่อยู่ในกระแส สื่อวิทยุโทรทัศน์และหนังสือ ที่ใครๆก็ติดตามฟัง เมื่อเขียนอะไรก็ติดตามอ่าน คือ หลวงพ่อพุทธทาส หลวงพ่อปัญญานันทะ และ หลวงพ่อพระครูพิศลธรรมโกศล ที่ใช้นามปากกว่า หลวงตาแพรเยื่อไม้ สื่อสมัยนั้นที่ใช้ในการเผยแผ่ธรรมะ ก็มีหนังสือ วิทยุและโทรทัศน์ สื่อที่ถือว่า เข้าถึงประชาชนมากที่สุด คือ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ เพราะประชาชนทั่วทุกหัวระแหงของประเทศไทยฟังได้ทางวิทยุทรานซิสเตอร์ ราคาไม่แพงทุกคนสามารถเป็นเจ้าของมีไว้เพื่อเปิดฟังรายการจากสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ที่มีแรงส่งของคลื่นกว้างไกลที่สุด
สื่อต่อมาก็คือ หนังสือ ถือเป็นสื่อที่เข้าไปสู่ชนกลุ่มต่างๆกว้างขวางที่สุด ในยุคนั้นผู้ที่ผลิตสื่อหนังสือธรรมะมากที่สุด คือ มูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ มีคุณวิโรจน์ ศิริอัฐ เป็นประธาน กระตุ้นให้ประชาชนหรือพระภิกษุสามเณร อ่านหนังสือธรรมะกันอย่างกว้างขวาง คุณสุทธิรักษ์ สุขธรรม เจ้าของร้านขายหนังสือธรรมะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยทุกวันนี้ ก็คือ คนที่เคยทำงานแบกหามขายและแจกหนังสือให้คุณวิโรจน์ที่วัดชลประทานรังสฤษฎิ์และงานต่างๆที่มีพุทธศาสนิกชนและพระภิกษุสามเณรชุมนุมกันเยอะๆ
หลวงพ่อพุทธทาสนั้น มีผลงานหนังสือทุกชนิด ทั้งขนาดสั้น ขนากลาง และขนาดยาวมากที่สุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา รองลงมา คือหลวงพ่อปัญญานันทะ และพระครูพิศาลธรรมโกศล หรือหลวงตาแพรเยื่อไม้ ตามลำดับ
ท่านทั้งสามที่เอ่ยนามมานี้ คือ แรงบันดาลใจ ของอาตมาที่ปรารถนาจะเป็นนักพูดนักเขียน เมื่อมีโอกาสจะอ่านงานของท่านเหล่านี้ทันที ที่พูดว่า เมื่อมีโอกาส เพราะว่าสมัยที่เป็นสามเณรนั้นไม่มีเงินซื้อหนังสืออ่านนกเวลาต้องเก็บเงินไว้ซื้อตำราเรียนและค่าเล่าเรียนที่แสนจะน้อยนิด แต่เมื่อไม่มีเงินก็คือ ไม่มีเงิน ไม่ว่า มากหรือน้อย เคยอยากได้หนังสือ ฆราวาสธรรมปกดำของหลวงพ่อพุทธทาสราคาเพียง 25 บาท ญาติโยมหลายคนต้องช่วยกันลงขันคนละบาทสองบาทจึงจะซื้อได้
วิธีการหาหนังสืออ่านที่ดีที่สุดคือ เจอหนังสือของใครที่ไหนก็ยืมอ่านทันที เมื่อมาอยู่วัดประยุรวงศาวาส คณะ 10 ใกล้กับหลวงตาแพรเยื่อไม้ที่อยู่คณะ 9 ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกมาว่าจะต้องหาโอกาสไปกราบ ยอดพระนักเขียนและนักเทศน์รูปนี้สักครั้ง เพื่อเป็นมงคลชีวิต เมื่อภารกิจการเข้าเรียนต่างๆเบาบางลงแล้ว เย็นวันหนึ่งจึงเดินไปเคาะประตูคณะ 9 พลันพระภิกษุสงฆ์วัยกลางคนรูปร่างซูบผอมก็เปิดประตูรับ และพูดว่านิมนต์ครับ มาธุระกับใครละ
อาตมายกมือพนมแล้วตอบท่านว่า มาหาหลวงตาแพรเยื่อไม้ครับ
ท่านปล่อยภาษาโบราณออกมาว่า ข้านี่แหละหลวงต่แพรเยื่อไม้
กราบเรียนท่านว่า ดีใจมากครับที่ได้พบหลวงตา
ความจริงเคยเห็นท่านที่อุโบสถตอนทำวัตรบ่อยๆ แต่ไม่ทราบว่า ท่านเป็นหลวงตาแพรเยื่อไม้
ท่านกล่าวต่อไปว่า แกรู้จักข้าได้อย่างไร
ตอบท่านไปว่า อ่านหนังสือทุกเล่มที่เป็นของหลวงตาแพรเยื่อไม้ เล่มสุดท้าย ชื่อเละเทะกถา
ท่านได้ยินประโยคสุดท้ายหัวเราะก๊ากออกมาแล้วพูดอย่างเป็นกันเองว่า แกชอบเล่มนี้ด้วยเรอะ
ตอบท่านว่า แค่ชื่อก็ขำแล้วครับ ว่าแล้วก็พากันหัวเราะกัน
แล้วท่านกล่าวเสริมว่า การตั้งชื่อหนังสือ ต้องเตะความรู้สึกคน
ขณะที่คุยกันอย่างออกรส เหมือนคนรู้จักกันมานาน สายตาก็เหลือบไปเห็น ชั้นหนังสือข้างหลังที่นั่งรับแขกของหลวงตา มีหนังสือ ธรรมโฆษณ์ปกดำของหลวงพ่อพุทธทาสจำนวนมาก ตามมาด้วยหนังสือของหลวงพ่อปัญญานันทะ และหนังสือของหลวงตาแพรเยื่อไม้ที่ไม่เคยอ่านมาก่อน จึงรีบถามด้วยความตื่นเต้นว่า หลวงตาครับ ถ้าผมจะมาขออ่านหนังสือเหล่านี้เป็นบางเวลาจะอนุญาตไหมครับ
ท่านพูดด้วยความเมตตาว่า แกมาได้ตลอดเวลา หนังสือของข้ารอคนมาอ่านอยู่นะ
ฟังคำพูดของท่านแล้วปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง สัมผัสได้ว่า ท่านเมตตาแบบคนโบราณแม้จะใช้ภาษาถิ่นของท่านว่า แก ข้า แต่ทว่าอบอุ่นอย่างล้ำลึก หลังจากที่ท่านถามชื่อเสียงเรียงนามและเรื่องอื่นๆที่ท่านอยากรู้อยู่ครู่ใหญ่แล้ว จึงกราบลาท่านกลับกุฏิด้วยหัวใจพองโตที่ไปเจอยอดกัลยาณมิตร พระในดวงใจแถมยังเจอหนังสือที่โปรดปรานอีกกองโต นับเป็นโชคดีในรอบหลายปีทีเดียว
นับตั้งแต่นั้นมา ตอนเย็นๆ เมื่อกลับมาจากเรียนหนังสือที่วัดสระเกศฯในเวลาพลบค่ำ ก็จะรีบอาบน้ำแล้วไปอ่านหนังสือที่กุฏิหลวงตาแพรเยื่อไม้ 1 ชั่วโมง ถือเป็นเวลาพักผ่อนที่เพลิดเพลินที่สุด หนังสือปกดำของหลวงพ่อพุทธทาสหลายเล่มเคยได้ยินชื่อแต่ไม่มีเงินซื้อ มาอยู่ที่นี่หมดเลย หนังสือหลวงพ่อปัญญานันทะส่วนใหญ่เล่มเก่าๆเคยอ่านมาตั้งแต่สมัยอยู่ที่วัดเทพวงศ์วราราม(เขาแงน)ส่วนหนังสือหลวงตาแพรเยื่อไม้ ก็ขอยืมอ่านจากหลวงพ่อเจ้าคุณพระธรรมโกศาจารย์(องอาจ ฐิตธมฺโม ป.ธ. 9) ซึ่งนานๆจะได้อ่านสักเล่มหนึ่งตามเวลาที่ออกมาจำหน่าย แต่ตอนนี้ทุกเล่มมากองอยู่ตรงหน้า จึงเป็นช่วงเวลที่มีความสุขจริงๆ เวลาไปนั่งอ่านหนังสือ บางวันหลวงตาแพรเยื่อไม้ก็นั่งสมาธิอยู่ในห้อง บางวันท่านก็ออกมาพูดคุยทักทายด้วย บางวันพิเศษกว่านั้น มีคนนำน้ำเต้าหู้มาถวาย ท่านแบ่งให้ฉันด้วย บางวันมีน้ำส้มคั้นที่ญาติโยมของท่านนำมาถวาย ท่านบอกว่า ท่านเก็บไว้ให้ 1 แก้ว ท่านนำมาส่งให้แล้วบอกว่า ฉันเสียก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือจะได้สบายท้อง สบายใจ ดูเหมือนว่า แทบจะทุกวันที่ไปอ่านหนังสือ คณะ 9 นอกจากจะได้อาหารใจแล้วยังได้น้ำปานะดับกระความหิวกระหายได้อย่างดีทีเดียว
วันหนึ่งสามเณรรุ่นพี่สองรูป เรียนอยู่บาลีเตรียมอุดมศึกษามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยวัดมหาธาตุมานั่งสนทนากับหลวงตาแพรเยื่อไม้อยู่ก่อน เมื่อเห็นหน้าอาตมาหลวงตามถามว่า จรรยา แกสนใจจะเป็นนักเทศน์ไหมวะ ท่านเรียกด้วยความเมตตา คุ้นเคยและเป็นกันเอง บางทีเจอหน้าท่านก็เรียกว่า ไอ้จรรยาเอ้ย วันนี้เองมาเร็วนะ หิวไหมวะ อาตมาเกรงใจท่านได้แต่ยิ้มท่านก็จะนำน้ำเต้าหู้มาต้อนรับก่อนพร้อมกล่าวว่า เอ้าฉันเสียก่อน ท่านปฏิสันถารอย่างนี้ เมื่อท่านถามว่า แกสนใจจะเป็นนักเทศน์ไหมวะ อาตมา รีบพนมมือตอบท่านว่า สนใจมากครับผม ท่านเลยกล่าวนัดหมายว่า ดี ดี ดี ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ว่างไหม ถ้าว่างมาเริ่มกันได้เลย
หลวงตานัดหมายแบบง่ายๆรวดเร็ว แล้วท่านก็คุยเรื่องชีวิตนักเทศน์ของท่านให้ฟัง ท่านเดินทางระเหเร่ร่อนตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่มไปทั่วทุกหัวระแหง อยุธยา สุพรรณ ราชบุรี เพชรบุรี เรื่องเล่าเหล่านี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเราที่ปรารถนาจะเป็นนักเทศน์ ความจริง พอพูดถึงเรื่องนักเทศน์ท่าน เริ่มสอนวิชาการเทศน์เดี๋ยวนั้นเลยไม่ทันต้องรอถึงพรุ่งนี้ด้วยซ้ำไป เพราะเลือดเนื้อและวิญญาณของท่าน คือนักเผยแผ่ผู้ยิ่งใหญ่ชนิด Two in one ที่ทำได้อย่างสำเร็จทั้งสองอย่างในพระรูปเดียว
นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่อาตมาได้เรียนวิธีพูดและแสดงธรรมในที่สาธารณะจากครูบาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ ก่อนหน้านั้น อาตมาก็เรียนจากครูพักลักจำ จากพ่อหลวงเจ้าคูรพระราชญาณกวีบ้าง จากหลวงพ่อพุทธทาสบ้าง พระนักเทศน์อื่นๆตามงานศพบ้าง แต่ส่วนใหญ่อ่านจากหนังสือหลวงพ่อปัญญานันทะและหลวงพ่อพุทธทาสแล้วก็เลียนแบบยืนบ้างนั่งบ้างตามที่เห็นมา แต่พอมาเข้าชั้นเรียนพร้อมด้วยสามเณรมงคล สาครพันธ์และสามเณรสุทิน ทองเชื้อ แล้ว หลวงตาเริ่มสอนมารยาทนักเทศน์ให้หลายอย่าง ที่สามารถนำมาใช้ได้จริงถึงปัจจุบันนี้
เช่นท่านสอนว่า ถ้าเจ้าภาพนิมนต์ไปแสดงธรรมที่ไหน อย่าเป็นโฆษก หรือพูดอะไรปก่อนแสดงธรรม ต้องแสดงธรรมอย่างเดียว ถ้าไปพูดเล่นสรวเสเฮฮาเสียก่อน การแสดงธรรมจะขาดความศักดิ์สิทธิ์ จะต้องเข้าใจวิธีการเผยแผ่ธรรมให้ชัดเจนทุกอย่างเช่น การแสดงธรรมหรือการแสดงพระธรรมเทศนา ก่อนขึ้นธรรมาสน์เจ้าภาพต้องจุดเทียนส่องธรรมก่อน เตรียมคัมภีร์ติดตัวไป เวลาเทศน์ แม้จะเทศน์ปากเปล่าได้แต่ต้องวางสายตาที่คัมภีร์ให้ดูเหมือนกำลังอ่านเนื้อหาจากคัมภีร์ เพราะผู้ฟังตั้งใจจะฟังพระธรรมจากพระคัมภีร์
ถ้ามีการอาธนาธรรม เวลาแสดงธรรม ต้องพนมมมือตั้งแต่ต้นจนจบ ถือคัมภีร์และแสดงธรรมด้วยความเคารพไม่ตลกโปกฮา เพราะต้องเคารพพระธรรม ของถวายพระแสดงธรรมเรียกว่าไทยธรรม ของถวายพระสวดมนต์เรียกว่าไทยทาน ท่านให้การอบรมสั่งสอนมารยาทและวิธีการที่จะเป็นนักเทศน์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ตั้งแต่การก้าวขึ้นจากธรรมมาศน์ การลงจากธรรมาสน์ การรับประเคนไทยธรรม ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างสง่างาม ระมัดระวังทุกขั้นตอนเพราะธรรมาสน์ คือสถานที่แสดงพระธรรมที่พระนักเทศน์ต้องเคารพ แล้วพุทะศาสนิกชนก็จะเคารพพระธรรม
เรื่องการฝึกแสดงธรรมกับหลวงตาแพรเยื่อไม้ เป็นเรื่องยาวคงจะต้องเล่าอีกหนึ่งตอน เป็นอันว่าอาตมาโชคดีสามชั้น คือ ได้รู้จักกับพระนักเขียนและนักเทศน์ในดวงใจที่รอคอยมานาน ได้พบแหล่งค้นคว้าอาหารใจอย่างยิ่งใหญ่ และได้มีโอกาสฝึกฝนการเป็นนักเทศน์จากปรมาจารย์นักเทศน์แห่งฟ้าเมืองไทย การค้นพบที่สำคัญครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ปลุกเร้าจิตให้ตื่นรู้และเบิกบานท่ามกลางบรรยากาศแห่งการศึกษาและการพัฒนาตนในด้านต่างๆที่หนักหน่วงและเหน็ดเหนื่อยได้เป็นอย่างดี เปรียบเหมือนการเดินทางท่ามกลางดินแดนกันดารก็ยังพบลำธารและสวนดอกไม้ฉะนั้น
วันที่ 23 ธันวาคม 2564 เวลา 6.17 น.
วัดพุทธปัญญา เมืองโพโมน่า
รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ดร.พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ