เอ็นบีซี รายงานข่าวเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ถึงการคาดการณ์ของ ยูบีเอส สถาบันการเงินระดับโลกว่าภายในปี 2026 จะมีธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐฯ ต้องปิดตัวเองระหว่าง 40,000-50,000 แห่ง
โดยธุรกิจที่คาดว่าจะต้องปิดกิจการมากที่สุดคือร้านจำหน่ายเสื้อผ้าและเครื่องประดับ, เฟอร์นิเจอร์สำหรับบ้านเรือน และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ซึ่ง ยูเอสบี คาดว่าธุรกิจค้าปลีกทั้งสามประเภทจะต้องปิดตัวลงไม่ต่ำกว่า 23,500 แห่งภายในห้าปีข้างหน้า
ขณะเดียวกัน ธุรกิจที่คาดว่าจะมีผลประกอบการดีขึ้นอย่างมากในช่วงห้าปีข้างหน้า คือร้านสินค้าทั่วไป (general merchandise stores) เช่น ทาร์เก็ต และวอลมาร์ท รวมถึงร้านจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ด้วย
ข่าวบอกว่าตัวเลขประเมินล่าสุดของ ยูบีเอส ดังกล่าว ถือว่าลดลงจากที่เคยประเมินเอาไว้ กล่าวคือ ยูบีเอส เคยประเมินว่าจะมีร้านค้าปลีกในอเมริกาปิดตัวลงในระยะห้าปีถึง 80,000 แห่ง โดย ยูบีเอส ให้เหตุผลว่าร้านค้าปลีกสามารถทนทานต่อธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซ และวิกฤตโรคระบาดได้ดีกว่าที่คาด เพราะได้รับแรงสนับสนุนจากค่าเช่าสถานที่ที่ลดลง และกำลังซื้อจากผู้บริโภคส่วนหนึ่ง ที่ยังคงจับจ่ายใช้สอยในร้าน (in-store) ต่อไป.