เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เกวิน นิวซัม ได้ลงนามในกฎหมายว่าด้วยการลดการใช้ภาชนะพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง (single-use plastic packaging) และเพิ่มปริมาณการรีไซเคิลภาชนะพลาสติกเหล่านั้นให้มากขึ้น ซึ่งข่าวบอกว่าเป็นกฎหมายควบคุมการใช้ภาชนะพลาสติกที่เข้มงวดที่สุดในประเทศ

ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ ผู้ผลิตพลาสติกจะต้องลดการผลิตภาชนะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวลง 10 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2027 และลดการผลิตเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2032 โดยคำว่า “ลดการผลิตภาชนะพลาสติกฯ” นั้น กฎหมายบอกว่าอาจเป็นทั้งการลดขนาดบรรจุ หรือเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่น หรือทำให้สินค้า (ภาชนะพลาสติก) สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (reusable, refillable) ได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ภายในปี 2032 อัตราการรีไซเคิลพลาสติก ต้องเพิ่มขึ้น 65 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากถ้าเทียบกับอัตราปัจจุบัน โดยอัตราส่วนดังกล่าว ไม่รวมภาชนะบรรจุเครื่องดื่ม ซึ่งมีกฎว่าด้วยการรีไซเคิลของตัวเองอยู่แล้ว

ทั้งนี้ รัฐแคลิฟอร์เนียมีกฎหมายควบคุมการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวหลายฉบับ ทั้งการควบคุมถุงพลาสติกของซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกอื่นๆ, ควบคุมหลอดดูดพลาสติก รวมถึงช้อนส้อมพลาสติก ฯลฯ และอีกไม่นาน ก็จะมีการ “แบน” ขวดน้ำพลาสติกในสวนสาธารณะที่อยู่ภายในความดูแลของรัฐด้วย

อย่างไรก็ดี พลาสติกยังคงพบได้ทั่วไป ตั้งแต่ขวดใส่น้ำยาซักผ้า, ขวดสบู่เหลว ฯลฯ จนถึงภาชนะบรรจุอาหารต่างๆ ซึ่งภาชนะพลาสติกเหล่านี้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกนำไปรีไซเคิล แต่เกือบทั้งหมดกลายเป็นขยะ ทั้งบนบกและในทะเล เป็นมลภาวะและเป็นอันตรายต่อสัตว์ชนิดต่างๆ รวมถึงมนุษย์ด้วย เพราะขยะพลาสติกเหล่านี้ ส่วนหนึ่งจะกลับมาในรูปไมโครพลาสติก ที่เจือปนอยู่ในน้ำดื่ม

ในส่วนของสไตโรโฟม (Styrofoam) นั้น กฎหมายใหม่ของแคลิฟอร์ไม่ได้ควบคุมโดยตรง แต่กำหนดว่าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากสไตโรโฟม จะต้องรีไซเคิลได้ในอัตรา 30 เปอร์เซ็นต์ในปี 2028 ซึ่งกลุ่มผู้สนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ มองว่าเท่ากับการแบนสไตโรโฟมไปโดยปริยาย ด้วยว่าเป็นวัสดุที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้

ข่าวบอกด้วยว่า อุตสาหกรรมพลาสติกของแคลิฟอร์เนีย ได้จัดตั้งชุดทำงานพิเศษเพื่อร่างแผนทำงานให้เป็นไปตามกฎหมายหมายใหม่  โดยในเบื้องต้นนี้ข่าวบอกว่าจะมีการจัดตั้งกองทุนปีละ 500 ล้านดอลลาร์ สำหรับทำความสะอาดมลภาวะจากพลาสติกในรัฐแคลิฟอร์เนีย.