เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2025 เว็บไซต์ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) เปิดเผยข้อมูลการจับกุมและกักตัวผู้อพยพที่อยู่อย่างผิดกฎหมายในสหรัฐฯ นับจากเดือนมกราคมจนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2025 ว่ามีจำนวนมากถึง 65,135 คน เพิ่มขึ้นกว่า 70% จากตัวเลขเดิม (ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่ง) และถือเป็นตัวเลขการจับกุมผู้อยู่ผิดกฎหมายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วย
อย่างไรก็ดี ประมาณ 30,986 คน หรือ 48% ของผู้อพยพที่ถูกกักกันตัวอยู่ในเวลานี้ ไม่เคยถูกตั้งข้อหา หรือเคยถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีอาชญากรรม แต่ถูกกักตัวเพราะละเมิดกฎหมายคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นความผิดคดีแพ่งเท่านั้น
โดยกลุ่มที่ไม่มีประวัติคดีอาญาถูกระบุว่าเป็นกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุดในระบบควบคุมตัวของไอซ์ กล่าวคือเพิ่มขึ้นกว่า 2,000% เมื่อเทียบกับก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง
ผู้อพยพที่ถูกจับกุมตัวโดยไอซ์อีกสองกลุ่มที่เหลือ คือกลุ่มที่มีประวัติอาชญากรรม มีสัดส่วนประมาณ 26% หรือ 17,171 คน และที่เหลืออีก 26% หรือ 16,978 คน เป็นผู้อพยพที่ถูกตั้งข้อหาอาญา แต่คดีอยู่ระหว่างพิจารณา
พร้อมกันนี้ ทอม โฮแมน ผู้ประสานงานด้านชายแดนของทำเนียบขาว และท็อดด์ ไลออนส์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองฯ ระบุว่าผู้ใดก็ตามที่ไอซ์ ตรวจพบว่าอยู่ในสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายจะถูกจับกุมทันที แม้จะไม่ใช่เป้าหมายของปฏิบัติการโดยตรงก็ตาม
โดยการจับกุมผู้อพยพแบบ collateral arrests หรือการจับกุมพลอยได้นี้ เคยถูกแบนในสมัยรัฐบาลโจ ไบเดน
“รัฐบาลมีอำนาจตามกฎหมายที่จะจับกุม กักตัว และดำเนินการส่งกลับประเทศกับผู้ต้องสงสัยว่าละเมิดกฎหมายคนเข้าเมือง ไม่ว่าจะมีประวัติอาชญากรรมหรือไม่” เว็บไซต์ของไอซ์ ระบุ และว่าในบางกรณี ผู้ถูกจับกุมอาจมีสิทธิ์ยื่นขอความคุ้มครองตามกฎหมาย เช่น การลี้ภัย ซึ่งสามารถชะลอหรือยับยั้งการเนรเทศได้
ทริเซีย แม็คลอฟลิน โฆษกกระทรวงความมั่นคงภายใน แถลงว่า รัฐบาลกำลัง “มุ่งเป้าจับกุมอาชญากรผิดกฎหมายที่เลวร้ายที่สุด รวมถึงฆาตกร, นักข่มขืน, สมาชิกแก๊ง, ผู้ละเมิดทางเพศเด็ก และผู้ก่อการร้าย” พร้อมอ้างว่า 70% ของผู้ถูกจับกุมโดย ICE มีข้อกล่าวหาหรือถูกตัดสินว่ากระทำผิดทางอาญา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกับตัวเลขล่าสุดที่ไอซ์ แถลง
โดยในส่วนของผู้อพยพที่ถูกจับกุมและกักตัวโดยไม่มีประวัติอาชญากรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพที่ถูกไอซ์กวาดจับจากแหล่งงานต่างๆ นั้น โฆษกกระทรวงความมั่นคงฯ บอกว่าอาจเป็นกลุ่มที่มีหมายจับจากคดีอาชญากรรมนอกประเทศ หรืออาจเป็นบุคคลที่ถือเป็นภัยต่อความมั่นคง พร้อมอ้างว่ารัฐบาลไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ว่ามีผู้ที่เข้าข่ายดังกล่าวมากน้อยเพียงใด.