โลกออนไลน์ “ระอุ” จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรายการ This Week ของเครือข่ายเอบีซี โดย จอร์จ สเตฟาโนโพลัส นักข่าวชื่อดัง ซึ่งได้สัมภาษณ์รองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ แพร่ภาพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2025

การให้สัมภาษณ์ซึ่งเริ่มต้นจากประเด็นเรื่องการหยุดยิงในตะวันออกกลาง กลับกลายเป็นการโต้เถียงที่ตึงเครียดขึ้น เมื่อสเตฟาโนโพลัสหยิบเรื่องของ ทอม โฮแมน คนสนิทของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าทีมนโยบายด้านชายแดน หรือ border czar ของทำเนียบขาว ซึ่งอยู่ระหว่างถูกกล่าวหาว่ารับสินบนเป็นเงินสดมูลค่า 50,000 ดอลลาร์จากสายของเอฟบีไอ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มีคลิปเสียงยืนยันด้วย

การยกประเด็นรับสินบนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคงภายในมาถามในรายการ เกิดขึ้นเพราะทำเนียบขาว พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปิดเรื่องนี้ โดยบอกว่าเป็นเพียง “เฟกนิวส์” ของฝ่ายซ้าย 

ก่อนหน้านี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แพม บอนดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แสดงความโกรธเกรี้ยวในที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อถูกซักถามเรื่องนี้ โดยเธอปฏิเสธทั้งหมด และบอกกับ ส.ว.ปีเตอร์ เวลช์ (เดโมแครต - เวอร์มอนต์) ว่า “คุณจะมานั่งที่นี่แล้วใส่ร้ายทอม โฮแมน ไม่ได้”

โดยในรายการเมื่อวันอาทิตย์ สเตฟาโนโพลัสถาม เจดี แวนซ์ ตรง ๆ ว่า “มีหลักฐานเป็นเทปบันทึกเสียงโดยเอฟบีไอ ว่า ทอม โฮแมน ผู้ประสานงานนโยบายชายแดนของทำเนียบขาว รับสินบนมูลค่า 50,000 ดอลลาร์ เมื่อเดือนกันยายน 2024 เขาเก็บเงินนั้นไว้หรือคืนไป”

แวนซ์ตอบว่า โฮแมนไม่ได้รับสินบน และว่าการพูดเรื่องนี้ คือการป้ายสีที่ไร้สาระ

สเตฟาโนโพลัสถามย้ำว่า “คุณกำลังบอกว่า เขาไม่ได้รับเงิน 50,000 ดอลลาร์ใช่ไหม?”

อาจเป็นเพราะมีหลักฐานเป็นคลิปเสียงชัดเจน ทำให้รองประธานาธิบดีอ้ำอึ้ง ก่อนตอบว่าเงิน 50,000 ดอลลาร์นั้น ไม่ใช่สินบน และพยายามอธิบายว่า ทอม โฮแมน ทำงานหลายอย่าง การรับเงิน 50,000 ดอลลาร์เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่หลักฐานบ่งชี้ว่าเคยรับสินบน

การเลี่ยงที่จะคุยกันถึงปัญหา ทำให้สเตฟาโนโพลัส พยายามดึงเข้าประเด็น เป็นเหตุให้รองประธานาธิบดี ใช้วิธี “โจมตี” ผู้ให้สัมภาษณ์ โดยบอกว่า “นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมคนถึงดูรายการคุณน้อยลง และคุณกำลังสูญเสียความน่าเชื่อถือ เพราะคุณใช้เวลา 5 นาทีของรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาพูดเรื่องทอม โฮแมน ซึ่งผมก็อ่านข่าวนั้นแล้ว แต่ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคลิปที่คุณพูดถึงคืออะไร”

เมื่อเห็นว่าเจดี แวนซ์ กำลัง “เลี่ยงประเด็น” โดยดูหมิ่นและ “ดีสเครดิต” ผู้สื่อข่าวแบบซึ่งหน้า อันเป็นวิธีการที่ทรัมป์และคนของเขานิยมใช้ ทำให้ สเตฟาโนโพลัส ตัดสินใจสรุปจบรายการ โดยกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อจากฝ่ายซ้าย ผมไม่ได้พาดพิงอะไร ผมแค่ถามว่า ทอม โฮแมนรับเงินสด 50,000 ดอลลาร์จริงไหม ตามเสียงที่บันทึกโดยเอฟบีไอเมื่อเดือนกันยายน 2024 และคุณก็ยังไม่ได้ตอบคำถาม ขอบคุณที่สละเวลามาร่วมรายการเช้านี้ครับ”

แม้ว่าแวนซ์พยายามจะพูดแก้ตัว แต่การสัมภาษณ์ถูกตัดจบในทันที

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลายเป็นเรื่องที่บรรดานักวิจารณ์การเมืองให้ความสนใจ โดยส่วนใหญ่แสดงความชื่นชมความกล้าหาญของ สเตฟาโนโพลัส ที่กล้า “ตัดจบ” แบบไม่ให้ค่ากับรองประธานาธิบดีที่พยายามโจมตีการเสนอข่าวที่ตนเองไม่ชอบว่าเป็นข่าวปลอม อีกทั้งเป็นการป้องกันความสับสนกับผู้ชมด้วย

“จอร์จ สเตฟาโนโพลัส เพิ่งทำในสิ่งที่นักข่าวตัวจริงควรทำ” หนึ่งในเสียงชื่นชมระบุ.

ทั้งนี้ สเตฟาโนโพลัส สำเร็จปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายสื่อสารมวลชนของทำเนียบขาวในสมัยรัฐบาลบิลล์ คลินตัน ก่อนกลายเป็นหนึ่งในผู้สื่อข่าวและนักวิเคราะห์การเมืองของ เอบีซี ที่มีชื่อเสียงในด้าน “สัมภาษณ์เชิงตรวจสอบข้อเท็จจริง” (fact-checking / accountability) ที่มักแย้งทันที หากมีการยกข้อมูลเท็จขึ้นมาอ้างระหว่างการสัมภาษณ์ 

การตั้งคำถามตรงไปตรงมา และไม่ยอมให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เลี่ยงคำถามง่ายๆ ทำให้ สเตฟาโนโพลัส ต้อง “ปะทะคารม” กับโดนัลด์ ทรัมป์ หลายครั้ง ถึงขั้นที่ทรัมป์เรียกว่าเป็น “นักสัมภาษณ์ที่โหดร้ายและชั่วร้ายที่สุด” รวมถึงเคยฟ้องหมิ่นประมาทสเตฟาโนโพลัส และเอบีซี เมื่อเดือนมีนาคม 2024 ฐานพูดถึงคดีล่วงละเมิดทางเพศ (ต่อ อี จีน คาร์โรลล์) ซึ่งศาลตัดสินว่าทรัมป์ผิดจริงด้วย ซึ่งต่อมา เอบีซี ได้ยอมจ่ายเงิน 15 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดี.