ฟ็อกซ์นิวส์ อ้างแถลงของ UPS หนึ่งในสามบริษัทขนส่งเอกชนที่ใหญ่สุดในโลก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า บริษัทอาจจะต้อง “กำจัด” พัสดุนำเข้าจากทั่วโลก หากพัสดุเหล่านั้นไม่ผ่านการตรวจจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรสหรัฐฯ 

ยูพีเอส บอกว่าขณะนี้ ปริมาณของพัสดุที่ไม่สามารถนำส่งผู้รับในอเมริกาได้ กำลังทวีจำนวนมากขึ้น  เพราะมีการปรับเปลี่ยนระเบียบ กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการนำเข้า รวมถึงข้อกำหนดด้านเอกสารที่ต่างๆ อย่างมาก เนื่องจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น 

“ยูพีเอส ได้ใช้ มาตรการใหม่ในการจัดการพัสดุที่ติดค้างอยู่ที่ศูนย์กระจายสินค้าทั่วประเทศ ประการแรกคือส่งคืนพัสดุกลับไปยังผู้ส่ง โดยผู้ส่งต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ประการที่สอง หากลูกค้าไม่ตอบกลับและพัสดุไม่สามารถส่งได้ การกำจัดพัสดุถือว่าจำเป็น และสอดคล้องกับกฎของศุลกากรสหรัฐฯ” โฆษกของยูพีเอส ระบุ

“ที่ผ่านมานั้น ยูพีเอส จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อเคลียร์พัสดุ และนำส่งให้ถึงปลายทาง โดยการติดต่อขอข้อมูลหรือเอกสารเพิ่มเติมจากผู้รับหรือผู้ส่ง รวมถึงชี้แจงความแตกต่างระหว่างข้อมูลที่ส่งมากับสิ่งที่ต้องใช้ อาจต้องมีการติดต่อมากกว่าสามครั้งต่อพัสดุแต่ละชิ้น” โฆษกของยูพีเอส ระบุ และว่าขั้นตอนดังกล่าวนอกจากจะเพิ่มงานและความยุ่งยากให้ทั้งพนักงานและลูกค้าแล้ว ยังทำให้ต้องเก็บพัสดุไว้ที่ศูนย์ฯ กระจายสินค้าครั้งละนานๆ ด้วย

แต่ความเปลี่ยนแปลงของนโยบายต่างประเทศล่าสุดของรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้มีการออกกฎนำเข้าใหม่หลายประการ เช่น ข้อกำหนดเอกสารที่ต้องระบุรายละเอียดสินค้าอย่างครบถ้วน และการยกเลิกข้อยกเว้นภาษี “de minimis” สำหรับพัสดุมูลค่าต่ำ เป็นการเพิ่มขั้นตอนศุลกากร และมีผลกับสินค้าจำนวนมากที่ไม่เคยต้องเสียภาษี หรือไม่ต้องใช้เอกสารซับซ้อนมาก่อน

“เราจึงเห็นพัสดุจำนวนมหาศาลที่ไม่สามารถผ่านศุลกากร เพราะข้อมูลเกี่ยวกับพัสดุไม่ครบถ้วนหรือขาดข้อมูลสำคัญที่ต้องใช้ในการเคลียร์” ยูพีเอส ระบุ 

ทั้งนี้ ข้อมูลจากองค์กรข้อมูลด้านโลจิสติกส์  FreightWaves ระบุว่าในแต่ละวัน มีพัสดุจากทั่วโลกประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ผ่านด่านศุลกากรของสหรัฐฯ โดยทันที

อย่างไรก็ดี ยูพีเอส ยืนยันว่าบริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเร่งส่งพัสดุทุกชิ้นถึงปลายทาง ภายใต้ระเบียบศุลกากรของรัฐบาลกลาง.