S&P Global บริษัทข้อมูลการเงินระดับโลก เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มาตรการภาษีนำเข้า (tariffs) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้ภาคธุรกิจทั่วโลกต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025 

โดยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาในปีนี้ ส่วนใหญ่ คือสองในสาม หรือราว 67 เปอร์เซ็นต์ จะถูกบริษัทผลักภาระไปยังผู้บริโภค มีเพียงหนึ่งในสามของธุรกิจทั่วโลกเท่านั้น ที่ยอมแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเอาไว้เอง

ตัวเลขต้นทุนเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ดังกล่าว มาจากข้อมูลที่ได้รับจากนักวิเคราะห์ฝั่งขาย (sell-side analysts) ประมาณ 15,000 คน จากบริษัทที่ให้ข้อมูลกับ S&P กว่า 9,000 บริษัท

“กำแพงการค้าของทรัมป์ ทำงานไม่ต่างจากภาษี (taxes) ในห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้กระแสเงินไหลไปสู่รัฐบาล ขณะที่ความล่าช้าโลจิสติกส์และค่าขนส่งยิ่งซ้ำเติมต้นทุน” ดาเนียล แซนด์เบิร์ก ผู้เขียนรายงานของ S&P กล่าว 

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกชนิดที่เข้าสหรัฐฯ 10 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงกำหนด “ภาษีตอบโต้” เป็นรายประเทศ และเพิ่มภาษีกับสินค้าหลายประเภท เช่น ตู้ใส่ของในครัว รถยนต์ และไม้แปรรูป แม้ทำเนียบขาวจะอ้างว่าผู้ส่งออกต่างชาติจะเป็นผู้รับภาระเป็นหลัก แต่ผลวิเคราะห์ของ S&P ชี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้น “ตรงกันข้าม” กับสิ่งที่ทำเนียบขาวอ้างอย่างสิ้นเชิง

“เพียงหนึ่งในสามของต้นทุนภาษีเท่านั้น ที่จะตกอยู่กับบริษัทต่างๆ โดยส่วนที่เหลือ 0.8 ล้านล้านดอลลาร์ จะตกอยู่บนบ่าของผู้บริโภค” S&P Global ระบุ

S&P ยังระบุว่าแรงกดดันต่อต้นทุนจะมีผลต่อกำไรบริษัทในระยะสั้น โดยคาดว่า มาร์จิ้นกำไรจะหดตัว 64 จุดฐานในปีนี้ ก่อนค่อยๆ ดีขึ้นในปี 2026–2028 ขณะเดียวกัน สถานการณ์ยังขึ้นอยู่กับท่าทีด้านการค้าของทรัมป์ในระยะต่อไป โดยเฉพาะความตึงเครียดกับจีน และการยกเลิกข้อยกเว้นสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ (de minimis) ซึ่ง S&P มองว่าเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุด” ในภาระภาษีรอบนี้

แม้สภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน จะชี้ชัดว่าผู้บริโภคกำลัง “จ่ายมากขึ้นแต่ได้ของน้อยลง” แต่โฆษกทำเนียบขาวได้ออกมายืนยันซ้ำๆ ว่าภาระที่ประชาชนต้องแบกรับจากมาตรการภาษีนำเข้าของทรัมป์ จะเกิดขึ้นเฉพาะ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” เท่านั้น โดยยืนยันว่าอีกไม่นาน ผู้ส่งออกต่างประเทศจะต้องยอมรับภาระไปทั้งหมด.