หลังจากศาลรัฐบาลกลางสหรัฐในบอสตัน โดย ผู้พิพากษาแอลลิสัน เบอร์โรส์ ได้สั่งระงับคำสั่งของรัฐบาล โดยกระทรวงความมั่นคงภายใน ที่ห้ามไม่ให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด รับนักศึกษาต่างชาติในปีการศึกษาหน้าไปเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น 

ล่าสุดเมื่อที่ 28 พฤษภาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาว ถึงเรื่องนี้ว่า มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ควรจำกัดการรับนักศึกษาต่างชาติไว้ที่ไม่เกิน 15% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด แทนที่จะเป็น 30% เหมือนเช่นขณะนี้

โดยทรัมป์อ้างว่า นักศึกษาต่างชาติเหล่านี้เป็นพวก "หัวรุนแรง" และเป็น “ตัวปัญหา" เป็นกลุ่มที่ถูกชักจูงโดยพวกซ้ายจัดในสหรัฐฯ และบอกว่า ฮาร์วาร์ด ควรเปิดเผยรายชื่อนักศึกษาที่เกิดในต่างประเทศ รวมถึงประเทศต้นกำเนิดให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทราบ

คำกล่าวของทรัมป์ มีขึ้นหลังจากผู้สื่อข่าวถามว่า กระทรวงต่างประเทศ จะเริ่มกระบวนการสัมภาษณ์ผู้ยื่นขอวีซ่านักเรียนอีกครั้งเมื่อไหร่ หลังจากมีการระงับตั้งแต่วันอังคารที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา

ทรัมป์ ซึ่งไม่ตอบคำถามนี้ กล่าวต่อว่าแผนจำกัดจำนวนนักศึกษาต่างชาติของเขา ส่วนหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาอเมริกัน ที่ต้องการเข้าเรียนต่อที่ฮาวาร์ดหรือมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าอื่นๆ 

“แต่เข้าไม่ได้ เพราะมีนักศึกษาต่างชาติอยู่" ทรัมป์บอก และว่า "ผมต้องการให้แน่ใจว่านักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาเรียนในสหรัฐฯ เป็นคนที่รักประเทศเรา”

ในปีการศึกษา 2024-25 นี้ มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีนักศึกษาต่างชาติ 6,793 คน คิดเป็น 27.2% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจากเอเชีย เช่นนักศึกษาจีนประมาณ 2,100 คน อินเดีย 790 คน, เกาหลีใต้ 430 คน ญี่ปุ่น 260 คน สิงคโปร์ 150 คน 

ทั้งนี้ รัฐบาล โดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ได้ยกประเด็นระงับวีซ่านักเรียนต่างชาติ และตัดเงินทุนสนับสนุน ฯลฯ มากดดันมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่ไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัฐบาล ที่ต้องการสลายการชุมนุมของเหล่านักศึกษาที่ไม่พอใจท่าทีของทรัมป์ต่อประเด็นขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ โดยกล่าวหาว่าท่าทีของนักศึกษาและคณะผู้บริหารของสถาบันฯ คือการสนับสนุนความรุนแรงสุดโต่ง และการต่อต้านชาวยิว ฯลฯ.