กำลังจะเข้าฉายแล้วสำหรับ Destiny: The Tale of Kamakura มหัศจรรย์โลกหลังความตาย จากตัวอย่างคิดว่าจะเป็นการผจญภัยต่อสู้กับสัตว์ประหลาดด้วย CG กาว ๆ แบบฉบับญี่ปุ่นที่ตัวเอกต้องไปพานางเอกกลับมาจากอีกโลกหนึ่ง แต่พอภาพยนตร์เริ่มเท่านั้นนี่แหละคือจุดเริ่มต้นของความดีงามมาก ๆ
Destiny: The Tale of Kamakura มหัศจรรย์โลกแห่งความตาย ว่าด้วยเรื่องราวของการผจญภัยสุดมหัศจรรย์เพื่อตามหาคนรัก ในดินแดนหลังความตายของชายคนหนึ่ง มาซาคาสึ อิชชิกิ นักเขียนนิยายแนวลึกลับแห่งเมืองคามาคุระ ที่ได้แต่งงานกับ อากิโกะ นากามูระ หญิงสาวที่มีอายุห่างกันนับสิบปี
หลังจากที่เธอย้ายเข้ามาอยู่กับสามี ชีวิตของเธอก็มีเรื่องให้ประหลาดใจอยู่เสมอ เพราะเมืองคามาคุระแห่งนี้เป็นเมืองที่ภูติ ผี ปีศาจ และมนุษย์สามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
ก่อนที่โชคชะตาจะทำให้ทั้งสองคนพลัดพรากจากกันด้วยแผนการอันชั่วร้ายของปีศาจ เทนโทกิวิญญาณของอากิโกะได้ถูกส่งไปที่โลกแห่งความตาย แต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่มาซาคาสึมีต่ออากิโกะ เขาจึงไม่ลังเลที่จะก้าวไปยังดินแดนที่ไม่เคยมีมนุษย์หน้าไหนกลับออกมาได้
จากที่ตัวอย่างค่อนข้างจะชูเรื่องการผจญภัยและแฟนตาซีมาก ตัวเอกจะต้องบุกไปชิงตัวนางเอกคืนมาแน่ ๆ บวกกับเพลงประกอบ Anata จาก อุทาดะ ฮิคารุ (Utada Hikaru) ยิ่งทำให้นึกถึงการผจญภัยในเกมชื่อดังจากค่ายสแควร์เอนิกซ์ Kingdom Heart 3 เข้าไปใหญ่
ตัวภาพยนตร์นำเรื่องความสัมพันธ์ของสามีภรรยาที่สะท้อนสังคมในปัจุบันมาเล่นได้อย่างลงตัว เราจะได้เห็นการใช้ชีวิตคู่ที่หลากหลายรูปแบบมากผ่านตัวละครต่าง ๆ ในเมือง แถมหนังยังยิงคำถามแบบโต้ง ๆ เต็มอารมณ์เข้ามาให้กับคนดูอีกว่า “คนเราจะยอมเสียสละได้แค่ไหนเพื่อคนที่เรารักกันนะ”
บวกเข้ากับธีมของตัวเมืองในภาพยนตร์ที่เป็นเมืองที่ปีศาจหรือวิญญานคนตายใช้ชีวิตร่วมกันกับผู้คนเหมือนเป็นเรื่องปกติ เราจะได้เห็นภูติตัวน้อย ๆ เดินไปเดินมาหรือกัปปะที่นั่งอยู่ตามข้างทางได้ตลอดทั้งเรื่อง ทำให้คำถามที่ดูเหมือนจะหนักนี้เบาลงมาได้บ้าง
กว่า 2 ชั่วโมง ภาพยนตร์ดำเนินไปแทบจะไม่มีความน่าเบื่อเลย เพราะสอดแทรกความตลก ความน่ารัก ความดรามาเข้าไปเต็มเปี่ยม ลบภาพน่าเบื่อ ๆ ของมุมกล้องค้าง ๆ ในภาพยนตร์ญี่ปุ่นหลายเรื่องไปได้เลย
และต้องชมงานภาพด้วย เข้าใจเลยว่าทำไม CG ต้องทำออกมาสไตล์นี้ ทั้งที่ดูจากช่วงท้ายเรื่องนี่อลังการแบบว่าน่าจะทำให้มันสมจริงได้ไม่ยากอะไรเลย ความปลอม ๆ ของ CG เนี่ยแหละคืออีกหนึ่งสิ่งที่ดึงเราให้ไม่ลืมว่าตัวภาพยนตร์มันเป็นแฟนตาซี ทำให้เราอินกับความรักของทั้ง 2 คน ที่ไม่ได้ปูเนื้อเรื่องอะไรมาก่อนเลยได้อย่างที่ว่าโอเคหยวน ๆ กันไปก็แล้วกัน
(เครดิต เอ็มไทย ดอทคอม ภาพจากกูเกิ้ล)