แมรีแอนน์ แคมพ์เบลล์ สมิธ วัย 57 หนึ่งใน “ฮีโร่” ของบรรดากลุ่มแอนตี้หน้ากากอนามัยในออเรนจ์ เคาน์ตี้ ถูกคณะลูกขุนของศาลซูพีเรียของออเรนจ์ เคาน์ตี้ ตัดสินเมื่อวันพุธที่ 20 ตุลาคม 2021 ว่ามีความผิดจริงตามข้อหา “บุกรุก” และขัดขวางการทำธุรกิจ สร้างปัญหาให้กับบรรดาลูกค้า จากพฤติกรรม “อาละวาด” เมื่อถูกพนักงานในร้านขอให้ใส่หน้ากากอนามัย
จากความผิดดังกล่าว ทำให้ผู้พิพากษา จอห์น ซิทนี พิพากษาให้เธอทำงานรับใช้ชุมชน 40 ชั่วโมง ทำทัณฑ์บน 1 ปี และปรับ 200 ดอลลาร์
แมรีแอนด์ สมิธ ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2020 ที่ตลาดเล็กๆ ชื่อ มาเตอร์’ส มาร์เก็ต ในเมืองคอสตาเมซ่า ใกล้กับบริเวณที่กลุ่มต่อต้านคำสั่งใส่หน้ากากจำนวนกว่าร้อยคน กำลังจัดชุมนุมประท้วง
ท็อดด์ สปิทเซอร์ อัยการของออเรนจ์ เคาน์ตี้ ระบุในคำฟ้องว่า ข้อหาของ แมรีแอนด์ สมิธ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายกรรมสิทธ์ิในทรัพย์สิน (Property Right)
“ผู้ต้องหาต้องการทำให้คดีเป็นเรื่องของหน้ากากอนามัยและเสรีภาพ แต่คดีนี้เป็นเรื่องของธุรกิจส่วนบุคคลและคนงานที่พยายามทำตามคำสั่งของภาครัฐ แต่เธอ (แมรีแอนด์ สมิธ) แสดงความเป็นอันธพาลไปทั่วทั้งร้าน ตะโกนด่าผู้สูงอายุที่ใส่หน้ากากในร้าน หาว่าเป็นส่วนหนึ่งในแผนร้ายของรัฐบาล”
แมรีแอนน์ สมิธ กล่าวถึงผลการตัดสินว่า ไร้ความยุติธรรม แต่เธอยินดีรับ “เพราะสิ่งที่สำคัญคือฉันได้พูดถึงเรื่องนี้ในวันนี้”
ข่าวบอกว่าตลอดการพิจารณาคดี มีกลุ่มต่อต้านการใส่หน้ากากอนามัย และต่อต้านมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงต่อต้านการฉีดวัคซีน มาชุมนุมหน้าศาลเพื่อให้กำลังใจกับ แมรีแอนน์ สมิธ เป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ เหตุการณ์ “อาละวาด” ในมาเตอร์’ส มาร์เก็ต เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมนั้น มีผู้ร่วมทำผิดเป็นผู้หญิงสามคน โดยคนที่สองนั้น ข่าวบอกว่าได้สารภาพผิดและยอมบริจาคเงินให้กับกองทุนช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจากโควิด-19 เพื่อเลี่ยงการถูกพิจารณาคดี ส่วนคนที่สามได้หลบหนีก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเดินทางมาถึง
ข่าวบอกด้วยว่าคดีของแมรีแอนด์ สมิธ เป็นคดีเกี่ยวกับการฝ่าฝืนคำสั่งใส่หน้ากากคดีแรกของ ออเรนจ์ เคาน์ตี้ เพราะตำรวจและอัยการแสดงท่าทีชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า จะเน้นการให้ข้อมูลความรู้ มากกว่าการบังคับหรือเอาผิดผู้ฝ่าฝืน
อย่างไรก็ดี ความผิดของ แมรีแอนด์ สมิธ ที่มีการส่งฟ้องทั้งหมด ไม่มีข้อหาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนคำสั่งการใส่หน้ากากอนามัย ของเทศบาลเมืองคอสตา เมซ่า เลย.