ข่าวคนไทยในอเมริกา
รายงาน : เปิดใจ “น้องแพท” คนไทยเหยื่อ “เฮทไคร์ม” เมืองซานฟรานฯ คนล่าสุด

เมื่อบ่ายวันที่ 19 กันยายน 2024 “น้องแพท” ชีวินทร์ การะพัฒน์ ชาวไทยในซานฟรานซิสโก ซึ่งถือว่าเป็นเหยื่อในคดีอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง หรือ hate crime รายล่าสุด ของเมืองท่องเที่ยวชื่อก้องโลกแห่งนี้ ได้พูดคุยผ่านซูม กับบุคคลหลายฝ่าย เกี่ยวกับ “คราวเคราะห์” ที่เขาเพิ่งเผชิญก่อนหน้านั้นสองวัน

โดย : ภาณุพล รักแต่งาม

วงสนทนาในวันนั้น ประกอบด้วย กงสุลปณต เกียรติก้อง กงสุลฝ่ายคุ้มครองคนไทยของสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แอนเจลิส, แกรี่ คุณาบุตร เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื้อสายไทยแห่งสำนักงานตำรวจเมืองซานฟรานซิสโก, คุณขวัญ วิมพ์วิภา ชัยอุ่น และคุณนัทธิรา ณ ตะกั่วทุ่ง สองเจ้าหน้าที่ของ Asian Pacific Counseling Treatment Center (APTCT) ซึ่งเป็นศูนย์ให้คำปรึกษาและรักษาสุขภาพจิตสำหรับชุมชนชาวเอเชียฯ และสยามทาวน์ยูเอส ในฐานะสื่อมวลชน

ประเด็นสนทนานานกว่าหนึ่งชั่วโมงในวันนั้น เริ่มตั้งแต่การบอกกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนถึงคำแนะนำของหลายๆ ฝ่ายเกี่ยวกับแนวทางในการทำงานเพื่อ “กดดัน” ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับคนไทยในซานฟรานฯ ครั้งนี้ หันมาสนใจติดตามเอาตัวคนร้ายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยด่วน ซึ่งสยามทาวน์ยูเอส ขอเรียบเรียงมานำเสนอ ดังนี้

-:วันเกิดเหตุ :

น้องแพท ที่บอกว่าตัวเองเป็นแอลจีบีทีคิว ที่ “ตัวเล็กและตุ้งติ้ง” เริ่มเล่าว่า เหตุร้ายเกิดขึ้นในเวลาประมาณตีสามเศษๆ เช้ามืดของวันอังคารที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา โดยบอกว่าสาเหตุที่อยู่นอกบ้านในเวลาวิกาลเช่นนั้น เป็นเพราะหลังเสร็จจากการช่วยงานเพื่อนที่บาร์แห่งหนึ่งแล้ว ยังต้องเอาของใช้จำเป็นไปให้เพื่อนจากต่างเมือง ที่เดินทางมาประชุมที่โรงแรมแห่งหนึ่งด้วย

“อพาร์ทเมนท์อยู่ในทำเลไม่ดี ย่านเทนเดอร์ลอยด์ ของซานฟรานฯ ซึ่งอันตราย มีโฮมเลส มีคนบ้า”

และระหว่างเดินกลับบ้าน น้องแพทก็ถูกทำร้ายโดยคนผิวดำ ร่างใหญ่ ซึ่งเห็นชัดว่าเป็นโฮมเลส ที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น โดยตรงเข้ามาชกต่อยจากด้านหลัง

“เราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ท่าทางเขาเกลียดเรา  ทั้งที่เราไม่รู้จักเขา ไม่เคยทำไรให้เขาเลย เป็นโมเมนต์ที่ทั้งงง กลัว และแอบโกรธด้วย เราไม่รู้อิโหน่อิเหน่ กำลังเดินกลับบ้าน”

ระหว่างถูกทำร้ายโดยการชกอย่างแรงที่ศีรษะถึง 5 ครั้งนั้น น้องแพทได้ยินเสียงของคนร้ายพูดแบบกัดฟันว่า “F--ing Asian -F--ing Monkey” ด้วย

“เขาเหวี่ยงหมัดมาห้าครั้งครับ พยายาม hit hit hit น้องแพทก็พยายามหลบๆ และวิ่งหนี”

หลังจากวิ่งหนีมาถึงหน้าอพาร์ทเมนท์ที่พัก ซึ่งอยู่ห่างจุดเกิดเหตุประมาณหนึ่งช่วงถนน และมั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว น้องแพทในสภาพที่เลือดไหลอาบหน้าก็โทรเรียกตำรวจ

“ตำรวจเขาก็ให้ใบ police record มา ถามว่ายูจะเอารถพยาบาลไหม เพราะตอนนั้นมีเลือดเต็มหน้า เจ็บที่หัวด้วย แต่บอกว่าไม่เป็นไรดีกว่า เพราะคิดว่าดูแลตัวเองได้ แต่พอกำลังจะนอนมันทนปวดไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจไปโรงพยาบาล ไปเช็กอีกรอบ"

โดยคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้น้องแพทไม่สามารถเปิดเผยอาการบาดเจ็บตามผลวินิจฉัยของแพทย์ได้ นอกจากโชว์ร่องรอยบาดแผลที่บริเวณใบหน้าด้านซ้าย และรอยช้ำที่หน้าผาก รวมถึงบอกว่าแพทย์ได้นัดทำ ซีทีสแกน เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่ศีรษะในวัดถัดมาด้วย

“ตอนนี้ผวาเลย ยังไม่ได้ลงจากอพาร์ทเมนท์เลย ให้เพื่อนมาส่งข้าวส่งน้ำ” น้องแพทเล่า

ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลนั้น น้องแพทบอกว่าตนเองยังโชคดี ที่ได้รับความคุ้มครองจากประกันสุขภาพของที่ทำงาน โดยคุ้มครองทั้งการพบแพทย์ ตรวจรักษา รวมถึงการพบจิตแพทย์ ซึ่งเชื่อว่าจะต้องใช้บริการหลังจากนี้ด้วย

-:วินิจฉัยถึงสาเหตุ “เกลียดเอเชีย” หรือ “เกลียดเกย์”

วงสนทนาพยายามมองหาถึงสาเหตุที่ทำให้คนไทยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ถูกทำร้ายร่างกายแบบรุนแรงโดยไม่มีการยั่วยุ โดยการทำร้ายเพื่อปล้นชิงทรัพย์นั้น ถูกตัดทิ้ง เพราะ “แพทไม่มีของอะไรเลยครับ แค่โทรศัพท์มือถือ”

ประเด็น แอลจีบีทีคิว นั้น น้องแพทบอกว่าตนไม่แน่ใจว่าคือสาเหตุของการทำร้ายร่างกายครั้งนี้หรือไม่ “แต่เพื่อนๆ ที่เป็นแอลจีบีทีคิว เจอมา 7-8 คนแล้วในรอบปีนี้ โดนแทง โดนชก โดยทำร้ายบ้าง”

ซึ่งในความเป็นแอลจีบีทีคิว ของเหยื่อคนไทยรายนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ แกรี่ คุณาบุตร เสริมข้อมูลว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปได้

“เราบอกตำรวจว่าเราเป็น แอลจีบีคิว ได้ เพราะ hate crime มีหลายแบบ แอลจีบีทีคิว ก็เป็นแบบหนึ่ง เราเป็นเอเชี่ยนก็แบบหนึ่ง เราบอกหลายอย่างก็ได้ ถ้าน้องแพทคิดว่าเป็นเฮทไคร์มเพราะเราเป็นเอเชี่ยน เพราะเขาบอกแล้วว่า ฟ-กิ้งเอเชียน แต่อีกฝั่งหนึ่ง ก็เป็น แอลจีบีทีคิว ได้ เพราะเขาอาจจะยังไม่ได้พูด แต่เราวิ่งหนีก่อนไง ถ้าน้องแพทคิดนะ อย่าลืมบอกตำรวจด้วย สำคัญมาก เพราะมันทำให้เคสเรา สตรองเกอร์”

มีการชูประเด็นขึ้นมาว่า หากคนร้ายในคดีนี้เป็นคนสติไม่ดี จะทำให้รูปคดีเปลี่ยนไปหรือไม่

เจ้าหน้าที่ตำรวจเลือดไทยแห่ง เอสเอฟพีดี บอกว่า “คนบ้าก็ติดคุกได้”

“กรณีคนร้ายเป็นคนบ้า ก็ต้องเข้าคุกได้ ไม่ว่าจะยังไง เพราะเป็นเฮทไคร์ม แต่ถ้าบ้า เขาเรียก PES (The Psychiatric Emergency Services unit) ก่อนเพื่อเอาไปตรวจดูว่าเขามีปัญหาสุขภาพจิตไหม จากนั้นพอเขามีสติ ก็จะเอาเข้าคุกต่อ แล้วเคสนี้ ต้องดูว่าเขามีประวัติคดีเฮทไคร์มไหม เคยทำอะไรมาก่อนไหม”

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจย้ำด้วยว่าไม่ว่าคนร้ายจะมีสภาพเช่นไร แต่คดีนี้คือคดี เฮทไคร์ม เพราะได้มีการใช้คำพูดที่บ่งชัดว่าเกลียดคนเอเชียขณะลงมือ

-:ความคืบหน้าของคดี

ออฟฟิศเซอร์ แกรี่ คุณาบุตร บอกข้อมูล (ณ วันที่ 19 กันยายน) ว่าเพิ่งมีการส่งรายงานเกี่ยวกับคดีนี้ออกมา แต่ยังไม่ได้มีการขอดูวิดีโอจากกล้องวงจรปิดในพื้นที่ เพื่อชี้ตัวผู้ต้องหา

“อีกเดี๋ยวคงจะส่งอีเมล์ไปให้ตำรวจทั่วซานฟรานฯ ลองดูว่ามีใครรู้จัก (ผู้ต้องหา) คนนี้ไหม แล้วเดี๋ยวผมก็จะไปตาม”

เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื้อสายไทยบอกด้วยว่า การจับกุมผู้ต้องหาไม่น่าจะยุ่งยาก แต่อีเมล์ ที่พูดถึงจะต้องถูกส่งออกมาโดยเร็ว เพราะโดยธรรมชาติของโฮมเลส มักจะอยู่ในละแวกเดิม แต่งกายแบบเดิม ซึ่งง่ายสำหรับตน ที่จะออกไปจับกุมมาก

มีผู้ถามน้องแพทว่า ในเมื่อย่านเทนเดอร์ลอยด์ ที่อาศัยอยู่ เป็นแหล่งโฮมเลส แหล่งอาชญากรรมสารพัดชนิด เหตุใดจึงไม่ย้ายออกมาอยู่ในแอเรียที่ดีกว่านั้น คำตอบคือยังไม่สามารถทำได้ (แม้จะอยากทำมาก) ด้วยว่าเป็นที่อยู่ที่ระบุเอาไว้ในแบบฟอร์มขอเปลี่ยนสถานภาพ หรือการขอใบเขียวจากการสมรส ซึ่งเรื่องกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อาจทำให้ยุ่งยากและเยิ่นเย้อมากขึ้น

-:ถูกทำร้ายร่างกายครั้งที่สอง ในระยะหนึ่งปี

ประเด็นที่ทำให้วงสนทนารู้สึกตกใจมากขึ้น คือการถูกทำร้ายร่างกายโดยไร้สาเหตุที่น้องแพทประสบเมื่อเช้ามืดวันอังคารที่ 17 กันยายนนั้น เป็นเหตุร้ายครั้งที่สอง โดยห่างจากครั้งแรกเพียงไม่ถึงปี

“เรื่องนี้ไม่ได้เกิดกับแพทครั้งแรก ปีที่แล้วก็รอดมาได้ ทำให้รู้สึก มีอะไรสปาร์คขึ้นมาในใจว่า ทำไมเราต้องอยู่บนความเสี่ยง อยู่ในความเกลียดชัง คนไม่ชอบเราหรือไง ทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไร แค่ไปทำงาน กลับบ้าน ไปปาร์ตีเฮฮา ไปช่วยสังคมบ้าง แต่สุดท้ายเรามาโดนอะไรแบบนี้ ด้วยความเกลียดชัง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย”

โดยน้องแพท เล่าถึงเหตุสั่นประสาทที่เขาประสบครั้งแรกว่าเกิดขึ้นขณะที่แต่งกายแบบ แดร็กโชว์ (Drag show) เพื่อไปร่วมงานปาร์ตี้

“เขามาเหมือนมาจี้ จะมาทำร้ายร่างกาย จะมาข่มขืน” หนุ่มไทยเล่า ก่อนจะสรุปว่ามีการแจ้งความ และทำตามกระบวนการของกฎหมายทุกอย่าง แต่เรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีการจับกุมคนร้าย ทั้งที่ทราบภายหลังจากนายตำรวจไทย ผู้เป็น “ฮีโร่” ของชุมชนไทยในซานฟรานฯ ว่า คนร้ายมีประวัติอาชญากรรม และอยู่ระหว่างภาคทัณฑ์ อีกทั้งสวมสายรัดอีเอ็ม (Electronic Monitoring) ที่ข้อเท้าด้วย

นายตำรวจไทย ได้เสริมข้อมูลถึงกระบวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ (บางคน) ที่เหลาะแหละ และน่าจะเป็นส่วนเสริมให้คดีอาชญากรรมในนครซานฟรานซิสโก เลวร้ายมากขึ้นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

“เคสนั้น เราได้ตัวผู้ต้องหาแล้ว แต่ตำรวจสองคนทำไม่ดี ไม่รอบคอบ ทำแบบว่า โอ้ ไม่สนใจ คนนี้ (น้องแพท) เหมือนเป็นคนขายตัว เขาก็ชั่งมัน จริงๆ คนร้ายคนนั้นอยู่ในห้อง แล้วตำรวจก็บอก ‘เฮ้ย! ออกไป’ มันผิดกฎของตำรวจทุกอย่าง หนึ่ง ถ้ามีการฟ้องร้อง เราต้องสอบสวน ถามชื่อนามสกุล ดูว่ามีประวัติไหม ซึ่งมี เขาอยู่ระหว่างภาคฑัณฑ์ (probation) มีหมายจับด้วย แล้วปล่อยเขาได้ไง ตำรวจสองคนนั้นทำไม่ดี แล้วจะโดนลงโทษจากหัวหน้าด้วย ตอนนี้ก็ตามหา (คนร้าย) อยู่ เรื่องมันยังไม่จบครับ แล้วคดีน้องแพทหนักมาก คือเป็นลักพาตัว กักขังหน่วงเหนี่ยว มีหลายอย่างที่ผมเห็นนะ เป็นทำร้ายทางเพศ (sexual assault) ด้วย พยายามข่มขืนเขา เท่าที่ผมเห็นนะ อย่างน้อย สิบข้อหาคดีอาญา”

น้องแพท เสริมว่า เหตุร้ายครั้งแรกนั้น ทำให้ตัวเอง “เสียศูนย์” ไปค่อนข้างมาก ต้องพบจิตแพทย์ และทำใจอยู่นานจึงสามารถกลับมาดำเนินชีวิตไปแบบปกติได้

“ตอนนั้นติดต่อ (ตำรวจ) ไปก็ไม่คืบหน้า จนเรายอมแพ้ โอย ทำมาหากิน ดูแลตัวเองไปดีกว่า พอเกิดอีกรอบ ทำให้เราผวา หา! เกิดขึ้นอีกแล้วเหรอ ก็เลยแบบ สับสนในหัวอยู่”

-:จากลุงวิชา, น้องรุจิรา ถึงน้องแพท... คนไทย “อยู่ยาก” ในซานฟรานฯ

เหตุการณ์คนไทยในอเมริกาถูกมองเหยียด ถูกด่า ถูกไล่ (ออกนอกประเทศ) ถูกทำร้าย หรือกระทั่งถูกฆาตกรรม เพราะความเกลียดชัง เกิดขึ้นบ่อยครั้งนับจากวิกฤตโควิด-19 เป็นต้นมา โดยต้นเหตุของของกระแส “เหยียดเอเชีย” ที่เชี่ยวกรากนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการชี้นิ้วโทษชาวจีนของ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ในยุคนั้นว่าเป็นต้นเหตุของโรคระบาดครั้งใหญ่ดังกล่าว

แม้คนไทยจะกระจายอยู่ในหลายรัฐ หลายเมือง แต่ดูเหมือนว่าซานฟรานซิสโก จะเป็นเมืองที่เกิดเหตุบ่อยที่สุด

คุณลุงวิชา รัตนภักดี ผู้อาวุโสชาวไทยวัย 84 ปี ถูกคนร้ายผลักอย่างแรงจนล้มกระแทกพื้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2021 ก่อนจะเสียชีวิตในอีกสองวันต่อมา สาเหตุเพียงเพราะคุณลุงเดินผ่านมาในจังหวะที่เขากำลังหัวเสีย แม้จะเป็นคดีดังระดับประเทศ แต่ความคืบหน้าของคดีในระยะกว่าสามปีที่ผ่านมา เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก

อีกกรณีที่ กงสุลปณต เกียรติก้อง พูดในวงสนทนา คือกรณีของหญิงไทย ชื่อ รุจิรา อ่ำบุญ ถูกทำร้ายบนรถเมล์ในซานฟรานซิสโก จนได้รับบาดเจ็บเมื่อเดือนธันวาคม 2022 เป็นคดีเฮทไคร์ม ที่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ แม้ว่าทางสถานกงสุลใหญ่ฯ จะวิ่งเต้นประสานงานกับเจ้าหน้าที่อย่างเต็มกำลังแล้วก็ตาม

“เรา (สถานกงสุลใหญ่ฯ) ทำหนังสือไปหาหัวหน้าตำรวจของซานฟรานฯ คุณแกรี่ช่วยมากเลย ได้ซูมคุยกับตัวหัวหน้าตำรวจด้วย ซึ่งกว่าจะได้ซูมกันนี่ก็คอยนานมาก แต่สุดท้ายไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้วิดีโอบนรถบัสหมดอายุ เทปอัดไว้มัน expire”

ท่าที่ที่มองได้ว่า “เหลาะแหละ” ของหน่วยงานผู้รักษากฎหมายของซานฟรานซิสโก โดยเฉพาะกับคดีที่มีคนไทย หรือชนกลุ่มน้อยทั่วไปเป็นเหยื่อแบบนี้ ทำให้กงสุลฝ่ายคุ้มครองฯ ของสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แอนเจลิส แสดงความห่วงใยในวงสนทนาด้วยว่า “เคส (ของน้องแพท) นี้ จะเป็นแบบนั้นไหม”

-: ต้องสู้จึงจะชนะ

แม้จะเห็นถึง “อุปสรรค” ในการติดตามเอาคนร้ายมาดำเนินคดีรออยู่ข้างหน้า แต่ทุกคนในวงสนทนา พูดเหมือนกันว่าเราจะอยู่เฉยไม่ได้อย่างเด็ดขาด

น้องแพท บอกเด็ดเดี่ยวว่า ยินดีเป็นกระบอกเสียงบอกทุกคนว่า “ต้องสู้”

“อย่างที่บอกไป คดีที่แล้ว แพทกี๊ฟอัพ เอ้อ ไม่เห็นมีอะไร แต่สุดท้ายมาเจออีกที ทำให้คิดว่า เราจะใช้คำว่า ‘เจ็บบ่อยๆ ค่อยๆ ชิน’ ไม่ได้แล้ว เพราะครั้งหน้าเราอาจไม่โชคดีขนาดนี้แล้วนะ”

ซึ่งการประกาศ “สู้ว้อย” ของน้องแพท คือหนึ่งในสาเหตุที่เขาออกมาให้พูดคุยกับทุกฝ่ายในวงสนทนา รวมถึงกับสื่อฯ อย่างสยามทาวน์ยูเอส ด้วย

“ที่ออกมาพูด อย่างน้อยเราก็เป็นกระบอกเสียงให้ทุกคน คนไทยในซานฟรานฯ ระวังในการเดินทางไปไหน ให้มองหน้ามองหลัง แพทขอเป็นกระบอกเสียง ในเมื่อเกิดกับตัวเองก็ไม่อยากให้เกิดกับใคร ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ คนหนุ่ม ผู้หญิงผู้ชาย เพศไหนก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้นกับใคร”

ประเด็นนี้ ออฟฟิศเซอร์ แกรี่ คุณาบุตร แสดงความเห็นว่า เหตุการณ์คนไทยถูกทำร้ายในคดีเหยียดผิวชังพรรณที่ทะยอยเกิดขึ้นถี่ๆ แบบนี้ น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ที่ชุมชนไทย ทั้งในซานฟรานฯ และแอลเอ น่าจะรวมตัวกันแสดงพลังเพื่อกดดัน โดยบอกว่าช่วงนี้เป็นปีเลือกตั้ง ทำให้นายกเทศมนตรี และผู้มีตำแหน่งสำคัญ อยู่ในสภาวะ “กลัวข่าวเสื่อมเสีย” มาก

"ตอนนี้ถึงเป็นเวลาที่เหมาะในการกดดันให้เขาตามผู้ร้าย ทั้งสองคนเลย เพราะตอนนี้เป็นเบสไทมส์”

ในส่วนของวิธีการกดดันผู้มีอำนาจหน้าที่ในซานฟรานซิสโก ที่มีการเสนอแนะโดยหลายๆ ฝ่ายในวงประชุมนั้น สยามทาวน์ยูเอส ขอสงวนเอาไว้ก่อน เพื่อความเหมาะสม

-:ซานฟรานฯ อยู่ยาก แล้วอยู่ทำไม?

การที่คนไทยคนหนึ่ง ตกเป็นเหยื่อคดีอาชญากรรมร้ายแรงถึงสองครั้งในเวลาห่างกันไม่ถึงปี น่าจะทำให้หลายๆ คนมองมหานครซานฟรานฯ ว่าเป็น “บ้านป่าเมืองเถื่อน” ไม่ควรที่จะแวะไปเที่ยวชม หรือหากไปก็ควรระมัดระวังตัวเองอย่างสุดขีด

เรื่องนี้ สองคนไทยในซานฟรานฯ หนึ่งคือนายตำรวจ แกรี่ คุณาบุตร และสองคือ “น้องแพท” ซึ่งตกเป็น “เหยื่อ” ของซานฟรานซิสโกถึงสองครั้งในรอบปี ต่างมองต่างออกไป

นายตำรวจไทยบอกว่าโดยภาพรวมแล้ว ซานฟรานฯ ยังสวยงาม น่าเที่ยว น่าอยู่ และไม่อันตรายเหมือนที่หลายคนคิด แต่ก็เหมือนกับเมืองใหญ่หลายแห่ง รวมถึงลอส แอนเจลิส ด้วย ที่บางบริเวณคือแหล่งที่ไม่ควรย่างกรายเข้าไป

“อยากจะเสริมว่าย่านนั้น (เทนเดอร์ลอยด์ ใกล้ดาวน์ทาวน์ ซานฟรานฯ) เป็นแอเรียที่อันตรายมาก แถวนั้นไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ผมไปบ่อยมาก มีทั้งยิงกัน แทงกัน”  และว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับน้องแพทนั้น ถือเป็นโชคร้าย เป็นการอยู่ผิดที่ผิดเวลาด้วย

“คือกลับดึก แอเรียไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาอยากจะทำร้ายน้องแพท แต่ละแวกนั้นคนบ้าเยอะ ยาเสพติดเยอะ โจรขโมยเยอะ อาจจะเห็นว่าตัวเล็กกว่า เขาไม่กลัว เขาเป็นคนผิวดำสูงหกฟุต ก็จะดูน้องแพทว่าเป็นเอเชียน เป็นอีซี่ทาร์เก็ต แถวนั้นโดนกันบ่อย ไม่ใช่คนเอเชียอย่างเดียว”

อย่างไรก็ตาม นายตำรวจไทยบอกด้วยว่าข่าวคราวคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นมากมาย รวมถึงการทุบรถ งัดบ้านหรือธุรกิจเพื่อขโมยทรัพย์สิน ฯลฯ ส่งผลกระทบแรงกับเศรษฐกิจของซานฟรานฯ มีนักท่องเที่ยวน้อย ร้านรวงปิดกิจการ ฯลฯ ถึงขั้นที่ผู้บริหารของเมืองฯ เริ่มเปลี่ยนแนวคิด

“เอาคน (ทำผิด) เข้าคุกดีกว่าไหม แล้วอย่าให้เขาออกมา เพราะเมื่อก่อนให้ตั๋ว แล้วก็เอ้อ! ไปเลย แล้วศาลก็บอกออกไปเถอะ ใหทัณฑ์บน แล้วเขาทำมาสิบครั้งแล้วน่ะ เท่าที่เราจับได้นะ แต่เขาทำร้อยครั้งเราก็ไม่รู้” นายตำรวจเลือดไทยกล่าว

ส่วนน้องแพท บอกว่ายังรักซานฟรานซิสโก มาก และยังไม่คิดจะย้ายหนีไปไหน

“แพทอาจจะดวงซวยเอง แพทยังรักซานฟรานซิสโกอยู่ เพราะว่าซานฟรานฯ มุมสวยก็มี ก็เหมือนกระดาษ ถ้ามองแค่จุดดำๆ ก็จะเห็นก็จะเห็นแค่นั้น แต่จุดดำๆ แบบนี้ มันก็ต้องกำจัดออกไป ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งเข่งไง” น้องแพท คนไทย “เหยื่อเฮทไคร์ม” รายล่าสุดในซานฟรานฯ กล่าว.




บน (จากซ้าย) กงสุลปณต เกียรติก้อง และ “น้องแพท” ชีวินทร์ การะพัฒน์  ล่าง (จากซ้าย) ภาณุพล รักแต่งาม สยามทาวน์ยูเอส), คุณขวัญ วิมพ์วิภา ชัยอุ่น (APTCT), แกรี่ คุณาบุตร เจ้าหน้าที่ตำรวจนครซานฟรานซิสโก และ นัทธิรา ณ ตะกั่วทุ่ง  (APTCT)




          น้องแพท



 




นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส
20-11-2024 แอลเอประกาศตัวเป็น “เมืองหลบภัย” ให้โรบินฮูด (0/41)   
18-11-2024 “ทรัมป์” ส่งสัญญาณ ใช้กำลังทหาร “เนรเทศ” ครั้งใหญ่ (0/266) 
18-11-2024 เตือน “แคร็อต” ปนเปือนอีโคไล 18 รัฐ ตายแล้วหนึ่ง (0/63) 
13-11-2024 บทความ : "กฎหมาย 36” ชัยชนะของประชาชนและความพ่ายแพ้ของ เกวิน นิวซัม (0/274) 
11-11-2024 กลุ่มเห็นต่างโห่รับ “อุ๊งอิ๊ง” ที่วัดไทยแอลเอ (0/237) 

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
619
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข