โดย : ทีมข่าวสยามทาวน์ยูเอส

ทีมข่าวฯ จึงพยายามรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมมานำเสนออีกครั้ง เพื่อความชัดเจน โดยหวังว่าจะสามารถคลายความกังวลใจของผู้อาวุโสในชุมชนไทยจำนวนมาก ที่ดำรงชีพอยู่ด้วยเงินสวัสดิการชนิดนี้

ความเปลี่ยนแปลงหลักๆ ที่สำนักงานประกันสังคม หรือ SSA (the Social Security Administration) บอกเอาไว้คือ “กระบวนการตรวจสอบผู้ยื่นเรื่องขอรับเงินประกันสังคมครั้งแรก” ซึ่งน่าจะหมายถึงคนที่วางแผนจะเกษียณหลังจากวันที่ 31 มีนาคม ศกนี้ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น โดยให้เหตุผลว่าเพื่อป้องกันการฉ้อโกง ตามที่อีลอน มัสก์ บอกว่ารุนแรงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ความเปลี่ยนแปลงนี้ นอกจากจะถี่ถ้วนขึ้นแล้ว SSA บอกว่าจะทำให้กระบวนการพิจารณาเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ SSA บอกว่าต่อไปนี้ การยื่นแบบฟอร์มขอรับสวัสดิการฯ จะมีแค่สองทาง คือกรอกข้อมูลและอัพโหลดเอกสารต่างๆ ผ่านระบบที่เรียกว่า “my Social Security” บนเว็บไซต์ของสำนักงาน หรือนำเอกสารที่จำเป็นไปแสดงกับเจ้าหน้าที่ด้วยตัวเองที่สำนักงานเท่านั้น ไม่สามารถติดต่อผ่านโทรศัพท์ได้อีกต่อไป

บอกด้วยว่าหากวิธีแรก คือยื่นเรื่องและแสดงหลักฐานผ่านระบบ “my Social Security” เกิดติดขัด ผู้ยื่นก็จะต้องนำหลักฐานนั้นๆ มาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้วยตัวเองเช่นกัน ไม่สามารถโทรศัพท์ไปคุยขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ได้

นอกจากจะมีผลกับผู้ยื่นขอรับเงินสวัสดิการฯ รายใหม่แล้ว ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลเกี่ยวกับการรับเงิน เช่นย้ายบ้าน หรือเปลี่ยนบัญชีธนาคาร ฯลฯ ก็จะต้องผ่านกระบวนการเดียวกันนี้ด้วย

โดย SSA บอกว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จะทำให้กระบวนการตรวจสอบข้อมูลเสร็จสิ้นภายในเวลาหนึ่งวันเท่านั้น ต่างกันแบบสิ้นเชิงกับระบบเดิมที่อาจต้องใช้เวลานานถึง 30 วัน

จากข้อมูลเท่าที่ปรากฎบนเว็บไซต์ของ SSA นั้น ทำให้เข้าใจได้ว่ามาตรการใหม่จะไม่มีผลกระทบกับผู้ที่ได้รับเงินประกันสังคมอยู่แล้ว หากไม่ต้องเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ ที่เกี่ยวกับการรับเงินฯ

น่าจะตอบโจทย์ผู้สูงอายุจำนวนมาก ที่กลับไปใช้เงินประกันสังคมอยู่ที่เมืองไทยในเวลานี้

อย่างไรก็ดี ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็ได้สร้างความกังวลใจให้กับกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสังคมสงเคราะห์ (และนักการเมืองฝั่งเดโมแครต) ว่า อาจเป็นปัญหาสำหรับผู้อาวุโสบางกลุ่ม ที่ยังตามเทคโนโลยีไม่ทัน รวมถึงคนพิการ หรือคนที่ไม่สามารถเดินทาง ฯลฯ

เดโมแครต ซึ่งต่อต้านความเปลี่ยนแปลงนี้บอกว่าข้อมูลที่ว่ามีการฉ้อโกงเงินประกันสับคมมหาศาล เป็นเพียง “ข้อกล่าวหาลอยๆ” ของอีลอน มัสก์ ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีทรัมป์ เท่านั้น แต่สร้างผลกระทบรุนแรงให้กับผู้อาวุโสและคนพิการหลายล้านคนอย่างรุนแรง

โดยอีลอน มัสก์ กล่าวหา (โดยไม่มีหลักฐานใดๆ) ว่าระบบเงินประกันสังคมของอเมริกาในรัฐบาลที่ผ่านมานั้นเต็มไปด้วย waste, fraud และ abuse บอกว่าเป็น Ponzi cheme ซึ่งเทียบได้กับคำว่า “แชร์ลูกโซ่” หรือการทำธุรกิจที่เน้นหารายได้จากการระดมทุน ฯลฯ แถมยังบอกเรื่อยเปื่อยด้วยว่า เท่าที่ลงมือตรวจสอบเพราะความอยากรู้ พบว่ายังมีการจ่ายเงินประกันสังคมให้กับคนอายุ 150 ปีด้วย...

นั่นคือเหตุผลที่ มัสก์ บอกว่าจะเลย์ออฟเจ้าหน้าที่ของ SSA ให้เหลือเพียง 7,000 คน จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 50,000 คน รวมถึงปิดสำนักงานสาขาที่เขาเห็นว่า “มีมากเกินจำเป็น” ด้วย

ข้อกล่าวหาของ อีลอน มัสก์ ดังกล่าว จะว่าไปก็ได้รับเสียงสนับสนุนจากชาวอเมริกันจำนวนมาก เพราะเงินประกันสังคม ได้กลายเป็น “จำเลย” ของประชาชนมานาน ทั้งในเรื่องของการปรับขึ้นที่ไม่สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปี หรือการขยายเวลาขอรับเงินแบบเต็มจำนวนขึ้นไปเรื่อยๆ ฯลฯ ล้วนแต่ถูกมองว่าเกิดจากความไร้ประสิทธิภาพ (และคอรัปชั่น) ของ SSA ทั้งสิ้น

ตอนนี้ SSA กำลังร้อง (ขอชีวิต) ว่าจำนวนพนักงานที่มีอยู่นั้น ต่ำสุดในรอบ 50 ปีอยู่แล้ว และที่ผ่านมาก็ได้ทำงานโดยให้ความสำคัญแบบเร่งด่วน (priority) กับความถูกต้องแม่นยำ และประหยัดค่าใช้จ่ายในทุกๆ ด้านอยู่แล้ว

จากการประเมินสถานการณ์ ณ ขณะนี้ ทีมข่าวสยามทาวน์ยูเอส เชื่อว่าความต้องการของอีลอน มัสก์ ในการลดเจ้าหน้าที่ของ SSA และของหน่วยงานอื่นๆ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เหมือนที่เขาคิด เพราะเกิดกระแสต่อต้านรุนแรงจากทุกภาคส่วน รวมถึงจากกระบวนการยุติธรรมในระดับต่างๆ ด้วย

แต่หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบกับผู้สูงอายุของเรา ทีมข่าวสยามทาวน์ยูเอส ก็จะนำมาเสนอกันต่อไป...