เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นายนิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอส แอนเจลิส หรือ ไทยเทรดแอลเอ ให้สัมภาษณ์สยามทาวน์ยูเอส กรณีที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศคู่ค้าที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประมาณ 60 ประเทศ รวมถึงประไทย ที่ถูกเรียกเก็บมากถึง 36% โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน (แต่เมื่อถึงวันที่ 9 เมษายน ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ประกาศเลื่อนกำหนดดังกล่าวออกไปอีก 90 วัน)

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผอ.ไทยเทรด แอลเอ บอกว่ามาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ จะกระทบกับการส่งออกของไทยรุนแรง เพราะสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุด และที่ผ่านมา เราได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงมาก

“แน่นอนว่ากระทบแรงมาก กระทบทุกสินค้าเลย โดยเฉพาะสินค้าอาหารที่ราคาจะสูงขึ้น กระทบร้านอาหารไทยที่ต้องใช้วัตถุดิบของไทย พวกข้าว เครื่องปรุง ซอสต่างๆ ราคาจะแพงขึ้น เมื่อร้านค้ามีต้นทุนสูงขึ้นก็อาจจะปรับราคา กระทบคนกิน กระทบกันเป็นลูกโซ่ ทำให้พวกเราที่นี่ต้องแบกภาระเพิ่มขึ้น”

ข้ออ้างของประธิบดีทรัมป์ที่บอกว่าอัตราภาษี 36% เป็นการตอบโต้ที่ประเทศไทยเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 72% นั้น นายนิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ บอกว่าตนเองก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน

“ถ้าจะเอาตามตัวเลขจริงๆ อัตราภาษีเราไม่ได้สูงขนาดนั้น โดยเฉลี่ยแล้ว แต่เขาอาจจะคิดรวม non tariff barriers (การกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี) หลายๆ อย่างมาคำนวนรวมด้วย เลยทำให้เป็น 72%”

โดยกลุ่มสินค้าที่อาจจะทำให้สหรัฐฯ มองว่าถูกกีดกันนั้น นายนิวัฒน์ บอกว่าอาจจะหมายถึงสินค้าหลายๆ อย่าง “สมมุติสินค้าเกษตร เราจะมีโควต้าว่าให้นำเข้าได้กี่ตัน หากนอกโควต้าก็ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นไปอีก อาจจะเป็นสิ่งที่เขามองว่าไม่แฟร์ เป็นการกีดกันเขา ทำให้เขาขายสินค้าเกษตรมาเมืองไทยไม่ได้ ซึ่งจริงๆ ไทยเราเป็นประเทศสินค้าเกษตรอยู่แล้ว เราก็เลยอาจจะต้องตั้งกำแพงนี้ขึ้นมา”

ถามถึงการส่งออกข้าว ว่าจะได้รับผลกระทบรุนแรงขนาดไหน นายนิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ บอกว่าน่าจะกระทบแรงพอสมควร เนื่องจากเกิดความไม่แน่ใจของผู้นำเข้าในสหรัฐฯ แต่เวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งของไทยถูกตั้งกำแพงภาษีสูงกว่า (46%) ทำให้ตนมั่นใจว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้

“อย่างช่วงโควิดนี่ บอกได้เลยว่าข้าวเราแพงมาก แต่คนก็ยังซื้อ ดูจากที่ผ่านมา เพราะสินค้าข้าวนี่ ยังไงคนก็ต้องกิน จึงอาจจะกระทบน้อยหน่อย”

นายนิวัฒน์ บอกว่าทางออกตอนนี้มีเพียงการเจรจากับสหรัฐฯ เท่านั้น โดยบอกว่าขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งทีมเจรจาไว้แล้ว และกำลังรอเวลาที่จะเข้ามาเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ  

ส่วนประเด็นไทยจะนำมาต่อรองกับรัฐบาลสหรัฐฯ นั้น นายนิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ บอกว่าทางกระทรวงจะต้องคิดให้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ เพื่อหาจุดที่เขาพอใจ เช่นปรับลดภาษีลง เปิดตลาดที่ไทยปกป้องเช่นสินค้าเกษตร เช่นเนื้อหมู นำเข้าพลังงาน ฯลฯ รวมถึงสนับสนุนให้มีการลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น

“ผมมองว่าที่เราต้องการจริงๆ ก็คือพวกวัตถุดิบสำหรับทำอาหารสัตว์ พวกข้าวโพด ซึ่งสหรัฐฯ มีเยอะ อาจจะนำเข้าให้มากขึ้น ผมว่าสหรัฐฯ น่าจะแฮปปี้ และส่วนอื่นๆ ก็ต้องคุยกัน เรื่องมาทุนก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะยังมีนักธุรกิจไทยที่อยากจะมาลงทุนในสหรัฐฯ อย่างซีพี ก็มาลงทุนเยอะ แลนด์แอนด์เฮาส์ เอสซีจี ก็ลงทุนในสหรัฐฯ”

ถามว่าสหรัฐฯ จะพ่วงเอาประเด็นที่มองว่าไทยยังล้าหลัง เช่นประเด็นสิทธิมนุษยชน การเมือง หรือการละเมิดลิขสิทธิ์ต่างๆ เข้ามาเป็นประเด็นต่อรองด้วยหรือไม่ ผอ.ไทยเทรด แอลเอ บอกว่าไม่ควรเป็นเช่นนั้น ควรเป็นการเจราการค้าเพียงอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับการเมือง

ถามว่ามีโอกาสจะได้เจรจาเมื่อไหร่ นายนิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ บอกว่าเดายาก แต่สหรัฐฯ น่าจะเน้นเจรจาประเทศใหญ่ๆ ก่อน

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวว่าขณะนี้ ประเทศต่างๆ มากกว่า 50 ประเทศ ติดต่อขอเจรจากับสหรัฐฯ โดยทั้งหมดมองประธานาธิบดีทรัมป์ ว่าที่อยู่ในสถานะอำนาจที่เหนือกว่า

ผอ.ไทยเทรด กล่าวด้วยว่าตนเองเชื่อว่าผลการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ จะลงเอยด้วยดี “น่าจะเป็นบวก เพราะเขารอให้เราไปต่อรอง ตามสไตล์ของทรัมป์”

นอกจากนี้ ผอ.ไทยเทรด แอลเอ ยังบอกด้วยว่าปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบรุนแรงกับชาวอเมริกัน เองน่าจะมีส่วนกดดันให้ทรัมป์ปรับเปลี่ยน หรือยกเลิกนโยบายกำแพงภาษีได้เช่นกัน

“ผมว่าสไตล์เขาเหมือนโยนหินถามทาง พอโยนไปปุ๊บ ท่านประธานาธิบดีก็สามารถปรับตัวได้ภายในวันสองวัน ตอนนี้เขาอาจจะใช้ยาแรงไปก่อน พอเห็นว่าไม่เวิร์ค หรือมีปัญหาเขาก็จะปรับตัว” นายนิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ กล่าว.