‘เชน-ธนา’ รวยได้เพราะไม่ท้อ เคล็ดไม่ลับ...ล้มแล้วต้อง ลุก..
“เชน-ธนา ลิมปยารยะ” หนุ่มคนนี้เราเชื่อแน่ว่า กลุ่มวัยรุ่นต้องรู้จักเขา จากภาพของการเป็นนักร้อง แต่ล่าสุด เชน กลับมาเป็นหนุ่มฮอตในแวดวงธุรกิจ ที่วันนี้ทุกคนรู้จักเขาในนามเจ้าของ “อมาโด้” อาหารเสริมที่โด่งดังและทำยอดขายได้มากที่สุดในแวดวงอาหารเสริม ต้องเรียกว่าเขาคนนี้ฮอตทั้งในวงการบันเทิงและวงการธุรกิจ และแน่นอนว่าวันนี้เขาได้กลายเป็นไอดอลให้ดารานักแสดงหลาย ๆ คนเดินตาม และเมื่อฮอตขนาดนี้ วันนี้เราจึงขอคิวหนุ่มเชน มานั่งพูดคุยถึงชีวิตที่ผ่านมาว่ากว่าจะมีวันนี้ ชีวิตเขาคนนี้ผ่านอะไรมาบ้าง เอาละอย่าช้าไปคุยกับหนุ่มเชน กันเลย
ตอนแรกเป็นนักร้องอยู่ดี ๆ นึกยังไงมาทำธุรกิจ?
“คือจริง ๆ แล้วผมเรียนด้านบัญชีบริหาร ที่ธรรมศาสตร์มา ที่บ้านเป็นโรงงานอุตสาหกรรม เกี่ยวกับสิ่งทอก็คือตั้งแต่เด็กโตมาก็เห็นพ่อนั่งเล่นหุ้น สิ้นเดือนก็ต้องมาช่วยนับเงินแจกคนงานที่บ้าน มันเลยรู้สึกว่าเรื่องธุรกิจมันอยู่ในหัวเรามาตลอด ไหนจะเรื่องมหาวิทยาลัยที่เข้ามา พอมาเรียนปุ๊บก็เรียนเรื่องบัญชี การเงิน ก็เลยรู้สึกว่ามันฝังอยู่ในความรู้เราครับ และพอจังหวะที่ปีที่สองที่เป็นนักร้องแล้ว ก็ได้เงินพรีเซ็นเตอร์ก้อนหนึ่งจากมอเตอร์ไซค์มา ก็ไปเปิดร้านขายกิฟต์ช็อปแบบบินไปซื้อที่ญี่ปุ่นที่เกาหลีมา คือเที่ยวด้วยซื้อของด้วย
ก็คืออยากใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์สนุกสนาน แต่มันไม่สโลว์เลย พอมาปุ๊บเหนื่อยมาก กว่าจะขายหมด แต่ว่าตอนนั้นก็กำไร กำไรเยอะมาก เด็ก ๆ แบบปีสองกำไรตกเดือนละ 2-3 หมื่น และรู้สึกว่าสนุกแต่พอประมาณปลาย ๆ ปี นั้น มีกลุ่มทางการเมืองเขาปิดพารากอน ก็เลยเปิดร้านไม่ได้เพราะเราเปิดที่สยาม แต่พอเขาเคลื่อนพลไปเราคิดว่าจะเปิดร้านได้แล้ว เขาก็ไปปิดสนามบินต่อ เราก็เลยบินไปสั่งของไม่ได้ สรุปแล้วตอนนั้นก็คือเจ๊งไป เจ๊งเพราะเงินไม่หมุน
แล้วพออีกปีหนึ่งเรียนปีสาม ก็เปิดร้านเสื้อผ้าที่ประตูน้ำตอนนั้นก็กำไรเดือนละเป็นล้านเลย แบบเฟ้อมากถอยรถสปอร์ต เช่าคอนโดฯ ปทุมวันอยู่เดือนละ 3 หมื่น เที่ยวผับทุกคืนให้ทิปบ๋อยที่ละพัน แบบเสี่ยมาก แล้วอยู่ ๆ การเมืองก็ระอุอีก ก็มาปิดราชประสงค์อีก 45 วันก็เจ๊งอีก เจ๊งแบบไม่มีข้าวกิน จนเวลาไปถ่ายงาน ถ่ายแบบอะไรแบบนี้ก็ขโมยข้าวกล่องกลับบ้าน คือผมขโมยมาทั้งถุงเลยที่มี 10-20 กล่อง แล้วก็เอากลับมาอุ่นกินที่บ้านเป็นเดือนเลย น้ำดื่มที่มันเป็นแพ็กก็ช้อนข้าง ๆ และโยนขึ้นรถ ไปงานไหนข้าวหาย ๆ ไม่มีใครรู้ (หัวเราะ)
ตอนนั้นกลับมาตั้งสติและถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรา ทั้งที่เราก็ทำถูกทุกอย่าง กลยุทธ์ของเรา ก็ใช้ที่เรียนมาหมด สุดท้ายมันไปรู้ที่ว่าความเสี่ยง เรื่องค่าเช่า ค่าจ้างพนักงาน และประเทศไทยตอนนั้นบางทีเราก็รู้สึกว่าเราไม่มั่นคง เดี๋ยวก็มีเรื่องอะไรมาอีกแล้ว เศรษฐกิจตกต่ำก็เลยหันมามองว่าเราเก่งเรื่องออนไลน์ เพราะสมัยนั้น Hi5 ผมมีเพื่อนในนั้นประมาณ 7 แสนกว่าคน นั่งรับเยอะมากและเป็นที่ 3 ของประเทศ ตอนนั้นที่ 1 คือโปเตโต้ ที่ 2 ไทเท
เนี่ยม และที่ 3 คือ เชน-ธนา จากอาร์เอสมันเป็นไปได้ยังไง เราก็เลยคิดว่าเราคงเข้าอะไรบางอย่างเกี่ยวกับออนไลน์ และค่อย ๆ เจาะมันพัฒนามันขึ้นมา สมัยนั้นยังไม่มีอินสตาแกรม ก็หัดเขียนเว็บไซต์ขึ้นมาขายของก็ขายได้ เริ่มต้นที่ 4 หมื่นบาท กับการขายตุ๊กตา เครื่องเขียน กิฟต์ช็อปน่ารัก ๆ ก็ขายจาก 4 หมื่นก็อัพขึ้นมาเรื่อย ๆ เป็นหลักแสนหลักล้าน และพอเป็นหลักล้าน ก็เริ่มมาขายแบตสำรอง ตอนนั้นแบล็กเบอร์รี่แบตยังหมดเร็ว ไอแพด 1 แบตหมดเร็ว เราก็มาขายแบตสำรอง ก็จาก 4 หมื่นผมใช้เวลา 2 ปี เป็น 5 ล้านบาท และพอ 5 ล้าน ก็มาต่อเนื่องเกี่ยวกับพวกเฮาส์แอนด์บิวตี้”
จากนั้นฟื้นขึ้นมาชีวิตดีเลยหรือเปล่า?
“ค่อย ๆ ดีขึ้นมามากครับ และจังหวะนั้นต้องขอบคุณเฮียฮ้อด้วย เพราะตอนนั้นวงแตกพอดี วงแตกก็ไม่มีเงินเหลือด้วย จังหวะนั้นเฮียเห็นว่าเราออกเดี่ยวได้ ผมก็เลยพยายามใช้สามเดือนนั้นซ้อมร้องเพลงไปด้วย อะไรไปด้วย แล้วก็พอมาออกเดี่ยวก็มีเงินใช้หนี้ใช้สิน คือจากที่มีเงินเป็นหลาย ๆ ล้าน คือไม่เหลือเลย เป็นหนี้ด้วยประมาณ 4- 5 ล้าน เป็นหนี้เพราะหมุนของที่โรงงาน ที่ต่างประเทศ
ตอนนั้นคิดว่ามันไวไป ผมว่าวัยรุ่นทุกคนหลาย ๆ คนน่าจะเป็น สมัยนี้จะชอบแบบยกสตีฟ จ๊อบส์ มาพูด ยกเถ้าแก่น้อยมาพูด ยกคุณตันมาพูด แต่ทุกคนไม่เคยรู้เลยว่าพวกนี้ผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งเราก็คิดว่าตอนนั้นเราได้เดือนละล้าน เดี๋ยวถึงแน่ ๆ ร้อยล้าน แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะมีปัจจัยที่มันจะล้มได้ลุกได้ แล้วพอเราไม่มีประสบการณ์ พอมันระเบิดมาที เราก็ล้มเลยไม่มีอะไรที่มาซัพพอร์ต”
มันก็เลยทำให้เราไม่ประมาทกับชีวิตแล้ว?
“ใช่ครับ แล้วก่อนหน้านี้ผมก็ไปเป็นพนักงานคลินิกด้วย ที่วุฒิศักดิ์ เป็นอยู่ 3 ปี ที่เป็นพนักงานธรรมดาคนหนึ่งนะ เป็นแบบซีร็อกเอกสาร นั่งเขียนประวัติคนไข้ ขายคอร์สไปแบบเปิดประตูยกมือไหว้ รินน้ำให้ลูกค้า ตรงนั้นหลายคนมองว่า ทำไมผมทำได้ ไม่คิดอะไรเลย ก็คือจะบอกว่ายังไงดี ผมยอมรับตัวเองส่วนหนึ่งด้วยครับ”
กับวงการบันเทิงคือห่าง ๆ มาประมาณปีครึ่ง แล้วจะมีผลงานในอนาคตหรือเปล่า?
“ก็ในอนาคตลุ้นอยู่ว่าเดี๋ยวหมดสัญญากับอาร์เอสสิ้นปีนี้ จะเดินไปทางไหนต่อดี ระหว่างอิสระอย่างนี้ หรือว่าอาจจะหาบ้านอยู่ แต่คงไม่ได้ต่อสัญญากับที่เดิมแน่นอนครับ แต่เพราะว่าเราโตมาจากอาร์เอส เราถนัดกับการที่มีบ้าน มีคนดูแล แต่ว่าก็ต้องลองชั่งใจ เพราะว่ายุคนี้มันดิจิตอลทีวีเอย มันแปลก ๆ ไปหมด”
ในเรื่องธุรกิจ เป็นคนประสบความสำเร็จมาก เด็กรุ่นใหม่จะเอาเชนเป็นตัวอย่างรู้สึกยังไง?
“มันก็ดีใจนะ เพราะเหมือนเราเห็นในความพยายามของเรา แต่จริง ๆ แล้วผมก็หวังว่าถ้าเกิดคนที่ตามผมแล้วเข้าใจผมจริง ๆ จะรู้เลยว่าจริง ๆ ผมไม่ได้มีหลักการอะไรที่มันเป็น 1 2 3 4 รู้แต่ว่าเราต้องทันเหตุ การณ์ เพราะว่ายุคนี้ถ้ายิ่งช้าจะยิ่งแพ้ แต่ถ้าเร็วก็ต้องเร็วแบบมีคุณภาพด้วย แต่บังเอิญผมเป็นคนเร็วและมีคุณภาพในแง่ของออนไลน์หรือตามเรื่องกระแสบางอย่าง หรือว่าเดาพฤติกรรมผู้บริโภคได้
คือถ้าเป็นธุรกิจสมัยก่อนจะต้องมีจุดแข็งจุดอ่อน มีโปรดักซ์ ไนซ์ไซเคิล มีอะไรอย่างนี้ แต่ยุคนี้มันไม่ใช่อีกต่อไป ยุคนี้มันคือใครไวกว่าชนะ แต่ยอมรับว่าเหนื่อยนะ แต่ปีนี้อาจได้เห็นชีวิตที่ดีขึ้น คือจะบอกว่า ปีกับอีก 6 เดือนที่ผ่านมา ผมเลือกที่จะไม่พักเลย เลือกที่จะทำเอง ทุ่มเทกับ อมาโด้ อย่างจริงจัง แล้วพอมาถึงวันนี้ผมหายเหนื่อยนะครับ แต่เราก็ไม่ประมาท เรายังต้องพัฒนาไปอีก อมาโด้ ยังต้องโตอีกเยอะครับ
ส่วนงานวงการบันเทิง ผมก็ยังเป็นพิธีกรก็ยังทำต่อเนื่องช่อง 3 สมรภูมิไอเดีย แต่ว่าในอนาคตเดี๋ยวลองดูว่าถ้าทางช่องมีอะไรเสนอมาดี ๆ ก็อาจจะอยู่กับเขาไป เพราะว่ามันผูกพันด้วยครับ คือเราชอบความเป็นบ้าน เพราะเราโตมากับผู้จัดการ โตมากับค่าย”
มีอะไรอยากบอกดารารุ่นน้อง ๆ เป็นวิทยาทาน?
“คือต้องบอกว่าจริง ๆ แล้ว ทุกอย่างมันมีอายุของผม ถ้าเกิดว่าเราข้ามผ่านอีกขั้นนึงไปไม่ได้ เราต้องเตรียมพร้อมกับชีวิต ผมเห็นหลายคนทุกวันนี้ล้มเละเทะเลย เพื่อน ๆ ในวงการที่แบบเริ่มมาพร้อมกันแต่ว่าจบไปเมื่อสี่ปีที่แล้ว เงียบเลย ทุกวันนี้ไม่มีงานทำ ยุคนี้มันยุคแห่งความเร็ว ยิ่งไม่มั่นคงไม่ถึงดังน้อย หรือได้แค่งานหลักพัน บางทีต้องใช้ชีวิตแบบหลักพันให้เป็น แต่ถ้าใช้ไม่เป็น อยู่ไม่ได้ ต้องหาอะไรรองรับ ทุกวันนี้โอกาสมีเยอะมาก หาที่ที่มันมีค่าและอยู่อย่างมีค่า ถ้าเมื่อไหร่ที่นั้นเราไม่มีค่า นั้นเราก็ย้ายที่ ถ้าเรามีค่าน้อยเกินไปเราก็หาที่ที่เหมาะกับเรา ชีวิตเราครับ เราเลือกเองได้ เลือกที่จะทำอะไรก็ได้ให้มันคุ้มค่ากับชีวิตของเรา”...
(เครดิต เดลินืวส์ดอทคอม)
ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัท เชนธนาซัพพลีเมนท์เปิดแผนการตลาดพร้อมบุกธุรกิจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงามต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จยอดขายทะลุ 100 ล้าน มุ่งพัฒนาคุณภาพและสร้างแบรนด์เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นในสินค้า ยืนยันไตรมาส 3 จับมือพันธมิตรเกาหลีแตกไลน์สินค้าสกินแคร์ เตรียมแต่งตัวเข้าตลาดและกระจายสินค้าสู่อาเซียน ตั้งเป้ายอดขาย 200-300 ล้านบาท
นายธนา ลิมปยารยะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชนธนา ซัพพลีเมนท์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงามแบรนด์ "อมาโด้" เปิดเผยถึงการดำเนินงานที่ผ่านมาว่า ประสบความสำเร็จในการทำตลาดสินค้าประเภทอาหารเสริมเป็นอย่างดี เนื่องจากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมามียอดจำหน่ายทั่วประเทศกว่า 100 ล้านบาท เนื่องจากได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้ง 3 ชนิดให้เป็นสินค้าที่มีคุณภาพจึงได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค และล่าสุดได้เปิดตัวสินค้าน้องใหม่เพิ่มอีก 1 ชนิด เป็นเครื่องดื่มชามะนาวเพื่อสุขภาพแบรนด์ "อมาโด้ซิเรรุ" โดยสินค้าทั้งหมดเน้นเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการลดและควบคุมน้ำหนัก รวมทั้งการบำรุงผิวและดูแลสุขภาพทั้งภายนอกและภายใน สำหรับสินค้าเพื่อสุขภาพประเภทต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าคือ อมาโด้ ไฟเบอร์ (Amado Fiber) เป็นเครื่องดื่มชนิดชงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดีท็อกซ์ลำไส้ ซึ่งจุดเด่นของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทนั้นผลิตจากวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติจึงไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ที่สำคัญได้รับอนุญาตถูกต้องจากหน่วยงานของรัฐบาล และทุกประเภทมีเลขที่จดแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
นายธนาเปิดเผยเพิ่มเติมว่า แผนการตลาดในช่วงต่อจากนี้จะเน้นการสร้างแบรนด์อมาโด้ (Amado) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งการสร้างทีมขายและตัวแทนจำหน่ายให้มีศักยภาพในการทำงานในสถานการณ์ที่ตลาดอาหารเสริมแข่งขันสูง รวมทั้งเน้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในรูปแบบใหม่ ๆ ให้ลูกค้ามีส่วนร่วม เพื่อต้องการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มอื่น ๆ ทั้งวัยทำงานและผู้สูงอายุ นอกจากนี้แล้วยังเน้นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาการจัดจำหน่ายทั้งหมดผ่านระบบตัวแทนขาย ซึ่งขณะนี้มีอยู่ประมาณ 3,000 รายทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม แผนการตลาดในระยะสั้นนั้น บริษัทฯ เตรียมลงทุนในการก่อสร้างโรงงานเพื่อผลิตสินค้าประเภทอาหารเสริมและสินค้าอื่น ๆ โดยในไตรมาส 3 นี้จะแตกไลน์อมาโด้ไปสู่สินค้าประเภทสกินแคร์ ซึ่งจะร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศเกาหลี เพื่อต้องการให้แบรนด์อมาโด้มีสินค้าที่หลากหลายและสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม ส่วนแผนการทำงานระยะยาวนั้นภายใน 3-5 ปีจะขับเคลื่อนให้แบรนด์อมาโด้เข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้ายอดขายในช่วงที่จะเข้าตลาดไว้ประมาณ 200-300 ล้านบาท นอกจากนี้แล้วยังมีแผนที่จะขยายตลาดไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน โดยจะโฟกัสไปที่ประเทศลาว กัมพูชา และมาเลเซีย เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีความคุ้นเคยและพฤติกรรมผู้บริโภคมีความใกล้เคียงกับคนไทย
(เครดิต ประชาชาติดอทเน็ท)
นำเสนอข่าวโดย : Kittisuda .,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส