โดย : แต้เจี้ยนหมิง
เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ จะไม่มีปรากฎการณ์ “ซูเปอร์บลูม” หรือปรากฎการณ์ดอกไม้ป่าบาน “เต็มแผ่นดิน เต็มฟ้า เต็มตาเห็น” เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2020 ที่ผ่านมา เพราะปริมาณน้ำฝนในช่วงที่ผ่านมามีน้อยเกินไป
ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะหลังจากที่วิกฤตโควิด-19 ในแคลิฟอร์เนียเริ่มคลี่คลาย พวกเราที่จับเจ่าอยู่กับบ้านมาเกือบทั้งปี ก็เริ่มมองหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจกันมากขึ้น
สยามทาวน์ยูเอส จึงทำการสำรวจจุดชมดอกไม้ ทั้งดอกไม้ป่าและดอกไม้ปลูกอันงดงามน่าตื่นตาจำนวนหกแห่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย... เพื่อเป็นข้อมูลให้พวกเราได้ทราบว่าที่ไหนควรไป หรือที่ไหนควรรอดูสถานการณ์อีกสักระยะ....
1 Anza-Borrego Desert State Park (ที่ตั้ง 200 Palm Canyon Dr, Borrego Springs, CA 92004)
แม้ว่าปีนี้ ดอกไม้ทะเลทรายสารพัดชนิดใน สเตทปาร์ค แห่งนี้จะไม่เบ่งบานอวดสีสันจัดจ้านเหมือนสองปีก่อน เพราะได้ปริมาณน้ำฝนเพียงไม่ถึงสองนิ้วก็ตาม แต่ไฮกิ้งเทรลใน สเตทปาร์ค แห่งนี้ก็ยังสวยงามและน่าเดินกินลมชมวิวอย่างยิ่ง
เว็บไซต์ของสเตทปาร์คแห่งนี้บอกว่า ถึงจะไม่มีปรากฎการณ์ซูเปอร์บลูม แต่ทิวทัศน์ตามธรรมชาติ สายลม แสงแดด และอุณหภูมิสบายๆ ในช่วงเช้าและเย็น ทำให้ไฮกิ้งเทรลของที่นี่มีลักษณะสวยงามเฉพาะตัวแบบหาที่อื่นไม่ได้ แถมยังมีดอกไม้ป่า ทั้งที่เป็นพุ่มใหญ่และเล็ก รวมถึงที่เป็น “พรมดอกไม้” คลุมดิน สีสันสวยงามให้ได้ชื่นชมกันเป็นระยะด้วย
คนรักดอกไม้ป่า สามารถสอบถามสภาพของดอกไม้ทะเลทรายของสเตทปาร์คแห่งนี้ได้ที่เบอร์ฮอทไลน์ (the Wildflower Hotline 760-767-4684) หรือโทรถามศูนย์ต้อนรับนักท่องเที่ยวของ แอนซ่า-บอร์รีโก้ เดสเสิร์ท สเตท ปาร์ค โดยตรงได้ที่หมายเลข 760-767-4205.
2 Antelope Valley California Poppy Reserve (ที่ตั้ง 15101 Lancaster Rd, Lancaster, CA 93536)
ที่นี่คือศูนย์อนุรักษ์พันธุ์แคลิฟอร์เนียป็อปปี้ ดอกไม้สัญลักษณ์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ใหญ่ที่สุด และเป็นจุดชมทุ่งดอกไม้ ที่พวกเราชาวไทยรู้จักมากที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะหากปีไหนฝนฟ้าเป็นใจ สภาพภูมิประเทศ ที่เป็นหุบและเนินเขากว้างใหญ่ จะถูกปกคลุมไปด้วยดอกแคลิฟอร์เนียป็อปปี้สีเหลืองส้ม และดอกไม้ป่าอื่นๆ สารพัดสี สวยงามชนิดยากจะบรรยาย
แต่น่าเศร้าใจที่ปีนี้ ภาพความงดงามแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น เพราะภาพที่เห็นจากไลฟ์สตรีม บนเว็บไซต์ของทางศูนย์ฯ ในเวลานี้ เห็นเนินเขาและหุบเขาเป็นสีน้ำตาลของหญ้าแห้งมากกว่าสีอื่นใด สาเหตุหลักคงมาจากปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ ที่ข้อมูลบนเว็บไซต์ฯ บอกว่ามีไม่ถึงสองนิ้ว หรือเทียบได้แค่ 1 ใน 5 ของปริมาณน้ำฝนปี 2017, 2019 และ 2020 ซึ่งเป็นปีที่เกิดปรากฎการณ์ ซูเปอร์บลูม ณ ศูนย์ฯ แห่งนี้
ถึงกระนั้นก็ตาม ความหวังที่จะเห็นทุ่งดอกป็อปปี้และดอกไม้ป่าอื่นๆ ที่ศูนย์อนุรักษ์ฯ แห่งนี้ก็ยังไม่หมดสิ้นไปซะเลยทีเดียว เพราะข้อมูลบนเว็บไซต์ของศูนย์ฯ บอกว่าฤดูดอกไม้ป่าที่เริ่มต้นตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์นั้น จะมีไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ดังนั้น “พระแม่ธรรมชาติอาจมอบน้ำฝนในปริมาณมากพอที่จะดับกระหายของผิวดินอันแห้งฝากของหุบเขาแห่งนี้ จนกว่าจะถึงวันนั้น จับตามองการไลฟ์สดทางเว็บไซต์ของเราเอาไว้”
3 Death Valley National Park
ปาร์ค ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลแห่งนี้ มีชื่อเสียงเรื่อง “ทุ่งดอกไม้ป่า” ไม่แพ้จุดชมดอกไม้อื่นใดของแคลิฟอร์เนีย แต่ข้อมูลบนเว็บไซต์ของปาร์คแห่งนี้ บอกว่าปีนี้ น่าจะมีดอกไม้น้อยกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา เพราะปริมาณฝนและหิมะตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมีน้อยมาก หากจะมีบ้าง ก็น่าจะต้องไฮกิ้งขึ้นไปบนพื้นที่สูงๆ (ตั้งแต่ mid-elevation) ขึ้นไป โดยข้อมูลบนเว็บไซต์ฯ บอกว่าดอกไม้ป่าจะบานในระดับ mid elevation ตั้งแต่เดือนเมษายน จนถึงเดือนมิถุนายน
อย่างไรก็ดี ผู้ต้องการเข้าชม เนชั่นปาร์คแห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องจองบัตรผ่านประตูล่วงหน้าเหมือนปาร์คที่มีคนพลุกพล่านอื่นๆ ในช่วงนี้ คือสามารถใช้บัตรเครดิต-เดบิตซื้อบัตรผ่านได้ที่ปาร์คเลย (ไม่รับเงินสด) เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบและกฎเกณฑ์เรื่องความปลอดภัยของภาครัฐอย่างเข้มวด เช่นต้องใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งหากไม่สามารถเว้นระยะห่างจากผู้อื่นได้
4 Idyllwild Nature Center (ที่ตั้ง : 25225 CA-243, Idyllwild-Pine Cove, CA 92549)
ศูนย์ธรรมชาติศึกษา ไอดัลไวล์ด ในริเวอร์ไซด์ เคาน์ตี้ แม้จะไม่ใช่จุดชมดอกไม้ที่เลื่องชื่อ แต่มีดอกไม้ป่าสวยๆ เยอะแยะ ทั้งโกเด้นร็อด สีเหลือง, จิเลีย สีม่วงคราม, คลาร์เกีย สีชมพูเข้ม และอีกสารพัดสารพันชนิด แถมยังเป็นสถานที่นักไฮกิ้งโปรดปรานกันมาก เพราะมีไฮกิ้งเทรลให้เลือกถึงห้าเส้น แถมมีหน้าผาหินให้ปีนป่ายแบบ rock climbing อีกด้วย
ในช่วงนี้ ศูนย์ฯ จะเปิดเฉพาะวันพฤหัสฯ ถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 09.00-16.00 น. ผู้ใหญ่เสียค่าผ่านประตู 6 ดอลลาร์ เด็ก (ต่ำกว่า 12 ปี) 3 ดอลลาร์ หากมีหมาไปด้วยก็เสียค่าธรรมเนียมตัวละ 2 ดอลลาร์
5 Walker Canyon in Lake Elsinore
วอล์คเกอร์ แคนย่อน เทรล ที่เลคเอลซินอร์ เพิ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ “จุดชมแคลิฟอร์เนียป็อปปี้ขนาดใหญ่” เมื่อปีที่ผ่านนี่เอง เพราะเกิดปรากฎการณ์ ซูเปอร์บลูม ดอกแคลิฟอร์เนียบานเต็มภูเขาอยู่ข้างฟรีเวย์ ทำให้มีผู้สัญจรผ่านไปมาต้องจอดรถแวะถ่ายรูปกันวันละเป็นแสนคน เป็นเหตุให้การจราจรติดถึงขั้นวิกฤตเลยทีเดียว
แต่เป็นที่น่าเสียใจดายว่าปีนี้ แม้ว่าเทศบาลจะเตรียมแผนรับนักท่องเที่ยวเอาไว้อย่างดี แต่ปริมาณน้ำฝนที่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ทุ่งดอกแคลิฟอร์เนียป็อปปี ริมฟรีเวย์ในเมืองน้อยแห่งนี้มีไม่มากนัก และว่ากันว่าป็อปปี้เมืองเลคเอลซินอร์ น่าจะโรยราจนหมดภายในช่วงเดือนเมษายนนี้... ดังนั้นหากมีโอกาส ไม่ว่าจะเดินทางผ่านหรือเจตนาขับรถไปดู ก็ขอให้รีบๆ กันหน่อย....
6 Flower Fields at Carlsbad Ranch (ที่ตั้ง 5704 Paseo Del Norte, Carlsbad, CA 92008)
ทุ่งดอกไม้เมืองคาร์ลสแบด ซึ่งตั้งอยู่ครึ่งทางระหว่างแอลเอและซานดิเอโก้ นี้ เลื่องชื่อในฐานะแหล่งปลูก รานังคูลัส (Ranunculus) ขนาดใหญ่ของประเทศ แถมพื้นที่เป็นแปลงดอกไม้กว่า 50 เอเคอร์ยังอยู่ริมฟรีเวย์ จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามฤดูกาลที่สำคัญของเมืองน้อยแห่งนี้ควบไปด้วย
ทุ่งดอกไม้แสนสวยของเมืองคาร์ลสแบดแห่งนี้ จะเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 09.00-18.00 น. จนถึงวันที่ 9 พฤษภาคม (หมดฤดูดอกไม้บาน) หากคุณผู้อ่านอยากจะไปชมในช่วงนี้ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ความปลอดภัยต่างๆ อย่างเข้มงวด เช่นใส่หน้ากากอนามัย (สองชั้น), เว้นระยะห่างจากนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น และที่สำคัญคือจะต้องซื้อบัตรผ่านประตูล่วงหน้าจากเว็บไซต์ theflowerfields.com ด้วย โดยบัตรราคา 18 ดอลลาร์ ส่วนผู้ใหญ่วัย 60 ปีขึ้นไปราคา 16 ดอลลาร์ และเด็ก (3-10 ปี) ราคา 9 ดอลลาร์...
ขอให้เอ็นจอยกับธรรมชาติและดอกไม้ของแคลิฟอร์เนียกันถ้วนหน้านะครับ...