อัยการสูงสุดบอกชื่อ “ทรัมป์” อยู่ในแฟ้มเอปสตีน”
แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : อัยการสูงสุด “แพม บอนดี” ได้สรุปผลการตรวจเอกสารในคดี เจฟฟรีย์ เอปสตีน ให้ทรัมป์ฟังตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยบอกชัดเจนว่าชื่อของเขาก็อยู่ในแฟ้มเหมือนกัน
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2025 ซีเอ็นเอ็น ได้อ้างแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้ว่า แพม บอนดี้ อัยการสูงสุด ได้บรรยายสรุปให้ประธานาธิดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือนพฤษภาคม เกี่ยวกับผลการตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีของ เจฟฟรีย์ เอปสตีน โดยบอกว่าชื่อของเขาก็อยู่ในบัญชีรายชื่อของเอปสตีน เช่นกัน
แหล่งข่าวในทำเนียบขาวสองคนบอกกับซีเอ็นเอ็นว่า การบรรยายสรุปของอัยการสูงสุด และรองอัยการ ทอดด์ บลานซ์ ในครั้งนั้น เป็นการบรรยายสรุปตามปกติ ครอบคลุมขอบเขตของข้อค้นพบของกระทรวงยุติธรรม โดยนอกจากชื่อของทรัมป์แล้ว อัยการสูงสุดยังรายงานต่อทรัมป์ว่า ยังมีรายชื่อของ “บุคคลสำคัญ” อีกหลายคน
อย่างไรก็ดี ชื่อของทรัมป์และผู้มีชื่อเสียงอีกหลายคนในเอกสารนั้น ผลการสอบสวนของกระทรวงยุติธรรม ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็น “บัญชีรายชื่อลูกค้า” ของเอปสตีนหรือไม่ อีกทั้งไม่พบความข้องเกี่ยวใดๆ ระหว่างบุคคลกลุ่มนี้กับการฆ่าตัวตายในคุกของเอปสตีน ด้วย
แหล่งข่าวของซีเอ็นเอ็น บอกด้วยว่าทรัมป์ และทำเนียบขาว ไม่ได้มองว่าเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะทรัมป์ เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลหลายคนของนิวยอร์กในช่วงทศวรรษ 1990 ที่เคยร่วมงานกับเอปตีน เพราะเอปสตีนพยายามเข้าไปใกล้ชิดกับคนที่มีชื่อเสียง เพื่อโปรโมทธุรกิจของตัวเอง
“การเปิดเผยว่ามีชื่อของทรัมป์ปรากฏในเอกสาร ไม่ได้ช่วยยกระดับความรู้เดิมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับผู้กระทำความผิดทางเพศผู้ล่วงลับแต่อย่างใด” แหล่งข่าวขาวระบุ
สตีเว่น เจิง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของทำเนียบขาว ตอบคำถามซีเอ็นเอ็น เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเป็นความพยายามสานต่อ “ข่าวปลอม” ที่พรรคเดโมแครต และสื่อเสรีนิยมกุขึ้นเท่านั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ แพม บอนดี้ และ ทอดด์ บลานซ์ ได้แถลงตอบข้อซักถามของ ซีเอ็นเอ็น เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมว่า “กระทรวงยุติธรรมและเอฟบีไอได้ตรวจสอบแฟ้มเอกสารของเอปสตีน และได้ข้อสรุปตามที่ระบุไว้ในบันทึกข้อความ ลงวันที่ 6 กรกฎาคม ไม่มีสิ่งใดในแฟ้มเอกสารที่สมควรได้รับการสอบสวนหรือดำเนินคดีเพิ่มเติม และเราได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอเปิดเผยบันทึกของคณะลูกขุนแล้ว” แถลงของอัยการสูงสุดระบุ และยืนยันข่าวของ ซีเอ็นเอ็น ด้วยว่าระหว่างการบรรยายสรุปให้ทรัมป์ฟังนั้น “เราได้แจ้งให้ประธานาธิบดีทราบถึงผลการตรวจสอบดังกล่าวด้วย”
ในส่วนของทรัมป์นั้น เขาได้ปฏิเสธข่าวนี้ตลอดมา รวมถึงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าอัยการสูงสุดได้บอกว่ามีชื่อของเขาในแฟ้มของเอปสตีนหรือไม่ ซึ่งทรัมป์ปฏิเสธทันที
ทั้งนี้ ความพยายามแบบออกหน้าออกตาของทรัมป์ ที่จะไม่ให้อัยการสูงสุดเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีรายชื่อของเอฟตีน นอกจากจะสร้างความไม่พอใจให้ประชาชนทั่วประเทศแล้ว ยังทำให้กลุ่ม MAGA บางส่วน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ซึ่งเป็นฐานเสียงที่ “กระตือรือร้น” ที่สุดของทรัมป์ เกิดความไม่พอใจด้วยเช่นกัน
แหล่งข่าวบอกกับซีเอ็นเอ็นด้วยว่า เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบข่าวไม่พอใจอัยการสูงสุด เป็นอย่างมาก ที่เธอไม่เอาชื่อของทรัมป์ออกก่อนเปิดเผยต่อกลุ่ม “ผู้มีอิทธิพล” หลายคนในเดือนกุมภาพันธ์
“ความล้มเหลวของเธอในการปกป้องประธานาธิบดีระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมานานระหว่างกระทรวงยุติธรรมและทำเนียบขาว” แหล่งข่าวระบุ
ทั้งนี้ ทำเนียบขาวได้เพิกเฉยต่อความสงสัยของประชาชนเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของทรัมป์กับอาชญากรทางเพศ และผู้ต้องหาคดีล่วงละเมิดผู้เยาว์ มาโดยตลอด อ้างแต่เพียงว่าเป็นแผนของพรรคเดโมแครต ที่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนไปจากความสำเร็จของรัฐบาล และต้องการสร้างความเสียหายให้ประธานาธิบดี
อย่างไรก็ตาม เสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงเสียงของรีพับลิกันเป็นจำนวนมาก ได้เรียกร้องให้มีการเปิดเผยเอกสารทั้งหมด ส่งผลให้ผู้นำพรรครีพับลิกันในคองเกรส ต้องตัดการประชุมสภานิติบัญญัติให้สั้นลง เพื่อหลีกเลี่ยงการลงมติเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้ง แต่ก่อนปิดประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันพุธที่ 23 กรกฎาคม คณะอนุกรรมการกำกับดูแลของสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติให้ออกหมายเรียก (subpoena) ขอให้กระทรวงยุติธรรมเปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเอปสตีน ต่อสาธารณชน
นอกจากนี้ รายงานของวอลล์สตรีทเจอร์นัลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกี่ยวกับจดหมายลงชื่อทรัมป์และภาพวาดผู้หญิงเปลือย รวมอยู่ในอัลบั้มที่ทรัมป์มอบให้เอปสตีนเนื่องในโอกาสวันเกิด 50 ปีในปี 2003 ก็เพิ่มแรงกดดันให้กับทรัมป์มากขึ้นเช่นกัน
ทรัมป์ปฏิเสธการเขียนจดหมายฉบับดังกล่าว และต่อมาในวันที่ 18 กรกฎาคม เขาได้ฟ้องร้องวอลล์สตรีทเจอร์นัล และรูเพิร์ต เมอร์ด็อก มหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของ เกี่ยวกับการตีพิมพ์บทความดังกล่าวที่ศาลฟอลริด้า โดยเรียกร้องค่าเสียหายมากถึง 10 พันล้านดอลลาร์.
ทรัมป์ และแพม บอนดี อัยการสูงสุด
|
ทรัมป์และเอปสตีน
|
นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส