กลายเป็นข่าวไปทั่วโลก เมื่อสวนสัตว์อัลบอร์ก ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเดนมาร์ก ได้ประกาศผ่านเฟสบุ๊ก เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อขอให้ประชาชนบริจาคสัตว์เลี้ยงที่ไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นหนูตะเภา กระต่าย ไก่ ฯลฯ และแม้แต่ม้าตัวเล็ก เพื่อเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อในสวนสัตว์ โดยบอกว่าเป็นไปตาม “ห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ”

“ไก่ กระต่าย และหนูตะเภาเป็นส่วนสำคัญในอาหารของสัตว์นักล่า” โพสต์ดังกล่าวเขียนพร้อมกับรูปภาพของแมวป่าลิงซ์ปากอ้า โชว์ฟันแหลมคม

“ด้วยวิธีนี้ จะไม่มีสิ่งใดสูญเปล่า และเรารับประกันพฤติกรรมตามธรรมชาติ โภชนาการ และความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์นักล่า” สวนสัตว์ระบุ

โดยสัตว์ที่บริจาค จะถูกทำ “การุณยฆาตอย่างอ่อนโยน” โดยเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกอบรม ก่อนนำไปเสิร์ฟให้สัตว์กินเนื้อ เช่น สิงโตเอเชีย ลิงซ์ยุโรป และเสือสุมาตรา

แน่นอนว่า คำขอของสวนสัตว์แห่งนี้ ก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างดุเดือดทางออนไลน์ โดยบางส่วนคัดค้านแนวคิดการเปลี่ยนสัตว์เลี้ยงให้กลายเป็นอาหาร ขณะที่บางส่วนชื่นชมความพยายามของสวนสัตว์ ในการรักษาพฤติกรรมการกินตามธรรมชาติของสัตว์เอาไว้

เพีย นีลเซน รองผู้อำนวยการสวนสัตว์อัลบอร์ก กล่าวว่า โครงการนี้ดำเนินมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และถือเป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปในเดนมาร์ก

“ที่สวนสัตว์อัลบอร์ก เราเลี้ยงสัตว์กินเนื้อด้วยสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กมาหลายปีแล้ว ในเมื่อเลี้ยงสัตว์กินเนื้อ  ก็จำเป็นต้องให้เนื้อสัตว์ รวมถึงขน กระดูก ฯลฯ เพื่อให้ได้อาหารตามธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” นีลเซนกล่าว

“ดังนั้น จึงถือว่าสมเหตุสมผล ที่จะเอาสัตว์เลี้ยง ที่ไหนๆ ก็จะถูกกำจัดอยู่แล้ว มาสร้างประโยชน์ด้วยวิธีนี้”

ข่าวบอกว่า ที่ผ่านมา สวนสัตว์ของประเทศเดนมาร์ก มีข่าวเกี่ยวกับวิธีการให้อาหารสัตว์และการควบคุมประชากรสัตว์แบบ “คาบเส้น” มาแล้วหลายครั้ง เช่นเมื่อปี 2014 สวนสัตว์โคเปนเฮเกน ในเมืองหลวงของเดนมาร์ก ได้ทำการุณยฆาตยีราฟหนุ่มที่แข็งแรงชื่อ มาริอุส เพื่อป้องกันการผสมพันธุ์ในพี่น้องครอกเดียวกัน โดยซากยีราฟบางส่วน ถูกนำไปใช้เพื่อการวิจัย และบางส่วนถูกนำมาเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อในสวนสัตว์  เช่น สิงโต เสือ และเสือดาว

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชนก็ปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อสวนสัตว์แห่งนี้ ทำการุณยฆาตสิงโตตัวผู้ถึงสี่ตัว เพื่อเปิดทางให้สิงโตวัยหนุ่มสามารถผสมพันธุ์กับตัวเมียในฝูงได้.