รอยเตอร์รายงานข่าวเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2025 โดยบอกว่าสินค้าเฟอร์นิเจอร์ จะเป็นสินค้านำเข้ารายต่อไปที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะตั้งกำแพงภาษี โดยกำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบ

“ภายใน 50 วันข้างหน้า การตรวจสอบดังกล่าวจะเสร็จสิ้น และเฟอร์นิเจอร์ที่ส่งเข้ามาจากประเทศอื่นๆ จะถูกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราที่ยังไม่ได้กำหนด” ทรัมป์โพสต์บนแพลตฟอร์ม Truth Social  และว่า “สิ่งนี้จะนำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ กลับคืนสู่นอร์ธ แคโรไลนา เซาท์แคโรไลนา มิชิแกน และรัฐต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา”

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์ไม้ของสหรัฐฯ เคยมีแรงงานมากถึง 1.2 ล้านคนในปี 1979 ก่อนจะลดลงเหลือ 681,000 คนในปี 2000 และเหลือเพียง 340,000 คนในปัจจุบัน

หลังจากโพสต์ของทรัมป์ ราคาหุ้นของบริษัทเฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้านชั้นนำ รวมถึง Wayfair, RH และ Williams-Sonoma ร่วงลงในการซื้อขายหลังเวลาทำการ เพราะเฟอร์นิเจอร์ของสามบริษัทหัวแถวนี้ ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ขณะที่หุ้นของ La-Z-Boy ซึ่งมีฐานการผลิตส่วนใหญ่อยู่ในอเมริกา กลับปรับตัวสูงขึ้นทันที

ข่าวบอกว่าในปี 2024 สหรัฐฯ นำเข้าเฟอร์นิเจอร์มูลค่าประมาณ 2.55 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2023 โดยส่วนใหญ่ คือประมาณ 60% เป็นเฟอร์นิเจอร์นำเข้ามาจากเวียดนามและจีน

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากรที่สูงลิ่วสำหรับรถยนต์ เหล็ก และอลูมิเนียมแล้ว และได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากรที่คล้ายคลึงกันสำหรับทองแดงนำเข้า ยา และเซมิคอนดักเตอร์ ไปก่อนแล้ว

ข่าวบอกด้วยว่าการตั้งกำแพงภาษีสินค้าเฟอร์นิเจอร์ในช่วงนี้ ถือเป็นการซ้ำเติมอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเผชิญกับตลาดที่ซบเซาอยู่แล้ว โดยผลประกอบการของ Wayfair ระบุว่ายอดขายสินค้าเฟอร์นิเจอร์ เช่นชุดรับแขก โต๊ะอาหาร ฯลฯ ลดลงตลอดช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งมาจากตลาดบ้านและที่อยู่อาศัยโดยรวม ชะลอตัวลง เนื่องจากผู้ซื้อรอให้อัตราดอกเบี้ยลดลง

“เมื่อมีการซื้อบ้านใหม่น้อยลง ผู้บริโภคจึงมีเหตุผลน้อยลงที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่” ข่าวระบุ

นอกจากนี้ สภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้การกินอาหารนอกบ้าน เสื้อผ้าใหม่ การเดินทางท่องเที่ยว และซื้อของตกแต่งบ้าน ล้วนได้รับผลกระทบทั้งสิ้น.