แม้ว่าตัวอย่างภาพยนตร์ของหนังภาคนี้จะออกแนวดูป่วยๆก็ตาม แต่เมื่อได้รับชมแล้วจะพบว่าตัวหนังมีดีและดูสนุกกว่าหน้าหนังเยอะมากๆ นอกจากจะดูเพื่อความบันเทิงแล้ว หนังยังทิ้งข้อคิดดีๆไว้ตลอดตามรายทางของหนังด้วยเช่นกัน
หากมองย้อนกลับไปที่หนัง jumanji ภาคแรก หนังค่อนข้างเน้นเรื่องความบันเทิงและการผจญภัยเป็นหลัก เราจะได้เห็นความแฟนตาซีของบรรดาสิงสาราสัตว์ที่หลุดออกมาจากเกมกระดานสู่โลกของความเป็นจริง แต่ในหนังภาคนี้เลือกจะกลับกันกับหนังภาคแรกด้วยการให้ตัวละครหลุดเข้าไปอยู่ในเกมจูแมนจี้แทน
สิ่งแรกที่น่าสนใจคือการที่เกมจูแมนจี้ เผยให้คนดูเห็นว่า “สิ่งนี้ เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์” อย่างหนึ่งที่สามารถเรียกร้องความสนใจผ่านเสียงกลอง เปลี่ยนรูปร่างลักษณะของเกมให้เป็นไปตามยุคสมัย (จากเกมกระดานสู่ตลับเกม) เพื่อดึงดูดให้คน กลายมาเป็นผู้เล่นของเกมนี้
ประการที่สองหนังยังใส่ประเด็นเรื่องการค้นหาตัวตนของวัยรุ่น ที่กำลังตั้งคำถามกับชีวิต เรียนรู้ตัวเองจากสังคมรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นสเปนเซอร์ เด็กหนุ่มเนิร์ดขี้โรคที่ดูเหมือนจะเป็นภูมิแพ้และไอ้ขี้แพ้ในเวลาเดียวกัน ฟริดจ์ หนุ่มนักกีฬาโรงเรียนที่ร่างกายกำยำแต่สวนทางกับไอคิวของตัว เบธานีย์ สาวสวย ผู้หมกมุ่นอยู่กับตัวเองจนเกินลิมิตและทำให้เธอมองไม่เห็นหัวเพื่อนมนุษย์คนอื่น มาร์ธา สาวหัวดีผู้ปิดกั้นตัวเองจากสังคม แม้ว่าเธอจะเป็นคนตรงไปตรงมาและฉลาดมากก็ตาม หนังใช้วิธีการปูพื้นตัวละครให้คนดูได้รู้กับพวกเขาระยะหนึ่ง ก่อนที่เรื่องราวจะไปสู่ช่วงถัดไป
ช่วงเวลาที่เหล่าวัยรุ่นหลุดเข้าไปในเกม ถือเป็นอีกช่วงที่น่าสนใจมาก เพราะพวกเขาได้กลายไปเป็นอีกตัวละครหนึ่งหรือกลายเป็นร่างอวตาร ซึ่งเรียกได้ว่าตัวละครที่พวกเขาเลือกนั้นกลายเป็น “ด้านตรงข้าม” กับชีวิตจริง สเปนเซอร์กลายเป็นหนุ่มล่ำมากพละกำลัง มีเสน่ห์ น่าหลงใหล ฟริดจ์ เปลี่ยนจากหัวโจกไปเป็นลูกสมุน (Sidekick) แต่มากสติปัญญา เบธานีย์ ไปอยู่ในร่างลุงวัยกลางคนพุงพลุ้ย ห่างไกลจากคำว่าหน้าตาดีหลายปีแสง มาร์ธา อวตารกลายเป็นสาวเซ็กซี่ มากทักษะการต่อสู้
สิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้ร่างอวตารทำให้วัยรุ่นกลุ่มนี้ได้เรียนรู้ที่จะปลดล็อคความกลัวของตัวเองภายใต้กำแพงที่พวกเขาเคยสร้างขึ้น เพียงเพราะขาดความมั่นใจ การเผชิญหน้ากับอุปสรรคในเกม เปรียบเสมือนการเดินออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยและได้ทดลองทำในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยลงมือทำมาก่อนในชีวิตนั่นเอง