เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2024 คริส แคมป์ซินสกี้ ซีอีโอของแม็กโดนัลด์’ส แถลงว่า ภายในปีนี้ แม็กโดนัลด์ จะให้ความสำคัญกับเมนูราคาถูกให้มากกว่าที่ผ่านมา รวมถึงจะลดราคาอาหารบางรายการลงด้วย

“การกินอาหารที่บ้าน กลายเป็นทางเลือกของครอบครัวส่วนใหญ่ในเวลานี้” ซีอีโอของแม็กโดนัลด์ กล่าว และว่า ฐานลูกค้าสำคัญที่สุด (กลุ่มผู้มีรายได้ปีละต่ำกว่า 45,000 ดอลลาร์) ของแม็กโดนัลด์ ลดลงอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาสที่ผ่านมา

คริส แคมป์ซินสกี้ บอกว่า แม็กโดนัลด์ จะให้ความสำคัญกับสูตรที่เรียกว่า D123 หรือการกำหนดราคาอาหารบางรายการระหว่าง 1-3 ดอลลาร์ ให้มากขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมา แฮมเบอร์เกอร์ และสินค้าอื่นๆ ในเมนูของแม็กโดนัลด์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างหนัก ว่าราคาแพงขึ้นเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นฟาสต์ฟู้ด เช่นราคาของ บิ๊กแม็ก ในเมืองดาเรียน (Darien) รัฐคอนเน็กติกัต สูงถึงชิ้นละ 18 ดอลลาร์ หรือมันฝรั่งทอด แฮสบราวน์ (hash brown) ขนาดเล็กราคา 3 ดอลลาร์ เป็นต้น

ข่าวบอกว่าแม็กโดนัลด์ ไม่ใช่เป็นเชนฟาสต์ฟู้ดเพียงแห่งเดียวในอเมริกา ที่ถูกผู้บริโภค “ต่อว่า” เรื่องราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น เพราะในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เชนฟาสต์ฟู้ดหลายแห่ง โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนีย  ต่างเจอกระแสต่อต้านแบบเดียวกัน รวมถึง Chipotle และ Fatburger ที่ได้แถลงไปตั้งแต่ต้นปีว่ามีความจำเป็นต้องเพิ่มราคาอาหารในเมนูขึ้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้

ปัญหาหลักของธุรกิจอาหารฟาสต์ฟู้ดในแคลิฟอร์เนียคือปัญหาค่าแรงขั้นต่ำ ที่กฎหมายใหม่ของรัฐ บังคับให้จ่ายค่าแรงคนงานในร้านฟาสต์ฟู้ดชั่วโมงละ 20 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำของแรงงานในอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยจะมีผลในเดือนเมษายนนี้

เมื่อปลายปีที่ผ่านมา พิซซ่า ฮัท ได้ประกาศเลย์ออฟคนงานส่งพิซซ่าในแคลิฟอร์เนียมากกว่า 1,200 คนเพราะไม่สามารถรับภาระค่าแรงในอัตราใหม่ได้ โดยบอกว่าการเลย์ออฟคนงานดังกล่าว จะทำให้พิซซ่า ฮัท ในแคลิฟอร์เนีย สามารถคงราคาอาหารเอาไว้ให้ใกล้เคียงกับราคาเดิมที่สุด.

ข่าวบอกว่า พิซซ่าฮัท เป็นธุรกิจฟาสฟู้ดขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวในแคลิฟอร์เนีย ที่แก้ปัญหาค่าแรงโดยการเลย์ออฟพนักงาน ขณะที่เชนอื่นๆ เช่น Chipotle, McDonald’s และ Fatburger ประกาศว่าจะมีการปรับราคาอาหารในเมนูขึ้น เพื่อให้สมดุลกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงานที่กำลังจะเพิ่มขึ้นมหาศาลในปีนี้.