กระทรวงความมั่นคงภายใน ประกาศผ่านเว็บไซต์ Federal Register เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2025 ว่าจะขยายขอบเขตการเก็บข้อมูลชีวมิติ (biometric data collection) ของชาวต่างชาติทุกคนที่เดินทางเข้าและออกจากสหรัฐฯ รวมถึงผู้ถือใบเขียว ให้เข้มงวดขึ้น 

“การเก็บข้อมูลชีวมิติอย่างครบวงจรสำหรับชาวต่างชาติที่เข้า–ออกประเทศ จะช่วยผ่อนคลายความกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ การใช้เอกสารเดินทางปลอม และปัญหาผู้ถือวีซ่าที่อยู่เกินกำหนด” ประกาศของกระทรวงความมั่นคงฯ ระบุ และว่าการดำเนินการทั้งหมด จะอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ (CBP)

โดยความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ทุกคน รวมถึงผู้อพยพที่อาศัยอยู่ในประเทศ และผู้ถือกรีนการ์ด คือทุกคนจะต้องให้เจ้าหน้าที่ประจำด่านศุลกากร ถ่ายภาพทุกครั้งที่เข้าและออกจากประเทศ จากเดิมที่เคยบังคับใช้กับผู้เดินทางบางประเภท เช่นผู้ถือวีซ่าชั่วคราว (วีซ่าท่องเที่ยว, วีซ่านักเรียน, วีซ่าทำงาน) เท่านั้น

ข่าวบอกว่าการถ่ายภาพนักเดินทาง “ขาออก” จากอเมริกา ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีการปฏิบัติมาก่อนนั้น มีขึ้นเพื่อให้เทคโนโลยีเปรียบเทียบใบหน้ายืนยันว่าคนที่ออกไปคือคนเดียวกับที่เข้ามา

โดยกฎใหม่นี้ จะถูกสำนักงานศุลกากรฯ นำมาปฏิบัติอย่างเข้มงวดในทุกช่องทาง ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ อีกทั้งยกเลิกข้อยกเว้นเดิมที่เคยละเว้นการตรวจข้อมูลชีวมิติของเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี และผู้มีอายุตั้งแต่ 79 ปีขึ้นไปอีกด้วย

ข่าวบอกว่าการถ่ายภาพผู้เดินทางทุกคนนั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรใช้เปรียบเทียบใบหน้าจากหนังสือเดินทาง หรือใช้เทคโนโลยีเปรียบเทียบใบหน้า เพื่อยืนยันตัวตนของผู้เดินทาง

กระทรวงความมั่นคงฯ ระบุด้วยว่าในระยะแรกนี้ จะบังคับใช้เพียงการถ่ายภาพเป็นหลัก แต่ในอนาคต อาจมีการเรียกเก็บข้อมูลชีวมิติประเภทอื่น เช่นลายนิ้วมือ เป็นต้น

“การใช้ระบบตรวจสอบเข้า–ออกด้วยข้อมูลชีวมิติที่เชื่อมโยงกัน จะช่วยยกระดับความปลอดภัยของประเทศ จากภัยก่อการร้าย การใช้เอกสารเดินทางปลอม ปัญหาผู้อพยพที่อยู่เกินกำหนด หรืออยู่ในประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการแก้ไขข้อมูลผู้เดินทางที่ผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน” สำนักงานศุลกากรฯ ระบุ

มาตรการใหม่นี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2025 เป็นต้นไป.