บทความ : จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ “Prop 50" ผ่านประชามติชาวแคลิฟอร์เนีย
เห็นชัดเจนแล้วว่า การเลือกตั้งพิเศษเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานั้น ชาวแคลิฟอร์เนีย ได้แสดงเจตนารมณ์ “ไม่เอาทรัมป์” ผ่านการโหวตสนับสนุน Proposition 50 กันแบบท่วมท้น
โดย : ทีมข่าวสยามทาวน์ยูเอส
ผลโหวตอย่างไม่เป็นทางการ ณ เช้าวันพุธที่ 5 พฤศจิกายน คือ “เยส” 63.8% และ “โน” เพียง 36.2% เท่านั้น
นอกจากเป็นชัยชนะที่ “เด็ดขาด” มากแล้ว ที่น่าจะบันทึกเอาไว้ตรงนี้ด้วยคือเป็นการเลือกตั้งที่ชาวแคลิฟอร์เนีย แห่กันออกมาใช้สิทธิ์มากกว่า 8 ล้านคน หรือเกือบๆ 40% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ถือว่าเป็นสถิติใหม่ของการเลือกตั้งระดับรัฐ (State & Local Elections) ซึ่งผู้คนจะให้ความสำคัญน้อยกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือเลือกตั้งมิดเทอม
ผู้โหวตเยส เกือบทั้งหมดมาจากแคลิฟอร์เนียใต้ และตลอดแนวชายฝั่ง ส่วนเสียงโหวต โน เข้มข้นทางเหนือ และพื้นที่ตอนในของรัฐ ซึ่งมีฐานเสียงของรีพับลิกันหนานแน่น และจะเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแบ่งเขตใหม่ในการเลือกตั้งปี 2026
ผลเลือกตั้งชี้ว่าชาวแคลิฟอร์เนียส่วนใหญ่เห็นด้วยกับ เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐฯ ที่บอกว่าข้อเสนอ 50 ฉบับนี้ จะเป็น “ยุทธศาสตร์สำคัญ” สำหรับปกป้องประชาธิปไตย ที่กำลังถูกละเมิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพราะมีเสียงข้างมากทั้งในคองเกรส และในศาลฎีกา คอยหนุนหลังอยู่
เกวิน นิวซัม กล่าวเมื่อคืนวันเลือกตั้ง หลังเห็นชัดเจนว่ามีการโหวต “เยส” ให้กับข้อเสนอ 50 กันแบบท่วมท้น ว่า ชาวแคลิฟอร์เนียได้ยืนหยัดตอบโต้ความหุนหันพลันแล่นของโดนัลด์ ทรัมป์
“คืนนี้ – หลังจากถูกแหย่ หมีตัวนี้ได้คำรามกึกก้อง ด้วยจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์แบบไม่เคยปรากฏมาก่อน ในการเลือกตั้งพิเศษครั้งนี้ พร้อมผลลัพธ์สุดยอดเยี่ยม”
ข้อเสนอ 50 นี้ ชัดเจนมาตั้งแต่ต้นว่าถูกผลักดันขั้นเพื่อ “โต้กลับ” พฤติกรรมขี้โกงของทรัมป์ ที่เรียกว่า partisan gerrymander หรือการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ เพื่อผลประโยชน์ของพรรครีพับลิกันในรัฐเท็กซัส
พูดให้ชัดก็คือรัฐเท็กซัส (และอีกหลายรัฐ) ที่ผู้บริหารรัฐเป็นคนของทรัมป์ ได้แบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2026 (มิดเทอม) เสียใหม่ เพื่อให้ผู้สมัครของตัวเองขยับเข้ามาอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ถือเป็นพื้นที่ปลอดภัย ขณะเดียวกันก็ “เขี่ย” ผู้สมัครของเดโมแครตออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองไปพร้อมกัน
วิธีนี้ ทรัมป์เชื่อว่าผลการเลือกตั้งมิดเทอมในอีกสองปีข้างหน้า รีพับลิกัน จะได้เก้าอี้เพิ่มอีกห้าตัว เป็น 30 ต่อ 6 เชื่อว่าจะทำให้รีพับลิกันยังคง “ครองเสียงข้างมาก” ในสภาล่างต่อไปจนหมดวาระของเขา
การ “โต้กลับ” ของเกวิน นิวซัม นั้น จะว่าไปก็คือวิธี “ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน” คือใช้วิธีเดียวกันในการเพิ่มจำนวน ส.ส. เดโมแครต ที่อาจจะหดหายไปจากกลโกงของทรัมป์ เพียงแต่ “ชอบธรรม” มากกว่า เพราะไม่ได้ประกาศใช้โดยพลการ แต่ผ่านการลงประชามติของชาวแคลิฟอร์เนียอย่างถูกต้อง
การเลือกตั้งมิดเทอมในปีหน้านั้น หากเท็กซัส มีจำนวนส.ส.ของรีพับลิกัน เพิ่มขึ้น 5 เก้าอี้ตามแผนของทรัมป์ แคลิฟอร์เนียก็จะลด ส.ส. ของรีพับลิกันลง 5 เก้าอี้เช่นกัน
ดังนั้น เมื่อกำจัดความได้เปรียบของทรัมป์ทิ้งไปแล้ว จำนวนเก้าอี้จากรัฐอื่นๆ ทั่วประเทศ ก็จะวัดจาก “คะแนนนิยม” ของทรัมป์ ล้วนๆ
ทันทีที่มีการประกาศผลอย่างเป็นทางการว่า ข้อเสนอ 50 ผ่านความเห็นชอบของประชาชน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือสภานิติบัญญัติของแคลิฟอร์เนีย มีอิสระในการ “วาดเขตเลือกตั้งใหม่เอง” โดยไม่ผ่านหน่วยงานกลาง (Independent Redistricting Commission) สำหรับการเลือกตั้งนับจากนี้ไปจนถึงปี 2030
แผนที่เขตเลือกตั้งใหม่นี้ คาดว่าจะทำให้ ส.ส. รีพับลิกันอย่างน้อยห้าคน ต้องพ้นจากตำแหน่ง คือ ดาเรล อิสซา (เขต 48), ดัก ลามัลฟา (เขต 1 ซึ่งเป็น ส.ส.ของย่านชนบทแคลิฟอร์เนียตอนเหนือมากว่าสิบปี), เคน คัลเวิร์ต (เขต 41 ริเวอร์ไซด์ เคาน์ตี้), เดวิด วาลาเดโอ (เขต 22 ย่าน San Joaquin ตอนใต้) และ เควิน ไคลีย์ (เขต 3 ซึ่งเป็นพื้นที่ทางตะวันออกของรัฐ)
ทันทีผลเลือกตั้งชี้ว่าชาวแคลิฟอร์เนียหนุนข้อเสนอ 50 ส.ส.รีพับลิกันในแคลิฟอร์เนีย ก็ออกมายื่นฟ้องขออำนาจศาลระงับข้อเสนอที่เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเห็นชอบทันที อ้างว่าเป็นการเพิ่มผู้แทนจากชุมชนลาติโน่ เพราะเป็นการร่างแผนที่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่สนใจประเด็นสัดส่วนเชื้อชาติ (majority-minority districts) จึงถือเป็นความอยุติธรรมทางการเมืองสำหรับคนผิวขาว
ถือว่าเป็นข้ออ้างที่ไม่น่าจะฟังขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ ผลการวิเคราะห์ของสถาบันนโยบายสาธารณะ (Public Policy Institute of California) ก็ออกมาชี้ว่าสัดส่วนตัวแทนเชื้อชาติในสภาคองเกรส จะไม่เปลี่ยนแปลงหลังการขีดเส้นแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ เหตุผลคือชนกลุ่มน้อยในแคลิฟอร์เนีย ไม่ว่าจะเป็นลาติโน่ ผิวดำ เอเชีย จะอยู่รวมกันเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่อยู่แล้ว การปรับเขตเพียงเล็กน้อย (minor tweaks) จึงไม่กระทบสัดส่วนตัวแทนเชื้อชาติ
จะว่าไป เสียงคัดค้านข้อเสนอ 50 ของเกวิน นิวซัม ไม่ได้มาจากรีพับลิกัน หรือบรรดาสาวกของทรัมป์แต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เหล่า “คนดี” ในเดโมแครตบางส่วน ก็ออกมาต่อต้านด้วยเหมือนกัน โดยคนเหล่านี้แย้งว่าหากใช้วิธีของ “คนเลว” เท่ากับเราก็เป็นคนเลวเหมือนกัน
ฟังแล้วก็ “หมั่นไส้คนดี” ขึ้นมาตะหงิด…
แน่นอนว่า การแสดงประชามติของชาวแคลิฟอร์เนียครั้งนี้ คือการ “ปิดโอกาส” ครองอำนาจเบ็ดเสร็จของทรัมป์ในช่วงสองปีหลัง ขวางแผนที่จะอาจสร้างความเสียหายกับประเทศและประชาชน รวมถึง “แผนเกาะเก้าอี้ไปจนตาย” ของเขาด้วย
แต่ประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือผลการแสดงประชามติครั้งนี้ ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ เกวิน นิวซัม ในฐานะผู้ผลักดันคนสำคัญของข้อเสนอฉบับนี้
นิวซัม ถือเป็น “หัวหอก” ของเดโมแครตที่กล้าชนกับทรัมป์แบบถึงลูกถึงคน นับจากวันแรกที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ทำให้เขาถูกจับตาในระดับประเทศ ว่าเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นตัวแทนพรรคลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 2028
ขออนุญาตอ้างคำกล่าวของ บ็อบ ชรัม (ที่ปรึกษาการเมืองพรรคเดโมแครต และผู้อำนวยการศูนย์การเมืองแห่งอนาคต (Center for the Political Future) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียภาคใต้ (USC) ที่บอกว่า การเปิดหน้าออกมา “ดวลหมัด” กับทรัมป์ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการผลักดันข้อเสนอ 50 นั้น เหมือนการเอาตัวเองออกมาให้ทรัมป์ “หมายหัว” ซึ่งถือเป็นก้าวที่ “เดิมพันสูง” ด้วยอนาคตของตัวเอง
“แต่ดูเหมือนว่าการเดิมพันนั้นได้ผล” บ๊อบ ชรัม กล่าว และว่าการที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย “ได้ใจ” คนเดโมแครตทั้งประเทศในเวลานี้ มาจาก balls (ความกล้า) ที่จะตอบโต้ทรัมป์แบบถึงลูกถึงคน ซึ่งเดโมแครตคนอื่นๆ ไม่ค่อยมี
หากไม่เกรงใจ เราอยากจะเสริมว่า เกวิน นิวซัม มี balls มากกว่านักการเมืองเดโมแครตทุกคนในคองเกรสรวมกันเสียอีก…
นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส