ข้อมูลจากสำนักงานขนส่งมวลชนของแคลิฟอร์เนีย (Caltrans) ระบุว่าที่ผ่านมา รัฐมีรายได้จากภาษีน้ำมันประมาณปีละ 300 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเงินก้อนนี้ ส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้จ่ายในการซ่อมแซมถนนหนทางภายในรัฐ

โดยภาษีน้ำมันของแคลิฟอร์เนียในปี 2025 อยู่ที่ประมาณ 61.2 เซ็นต์ต่อแกลลอน แต่เมื่อมีการประเมินรวมกับภาษีและค่าธรรมเนียมอื่นๆ แล้ว ผู้ขับรถในแคลิฟอร์เนียต้องจ่ายภาษีน้ำมันราว 0.90 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในประเทศ

อย่างไรก็ตาม ความนิยมของรถไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความกังวลว่ารายได้จากภาษีน้ำมันของรัฐจะลดลงจนไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการดูแลซ่อมแซมถนนหนทาง ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นทุกปี 

ในปี 2024 ที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ปล่อยก๊าซเป็นศูนย์ในแคลิฟอร์เนีย มีสัดส่วนประมาณหนึ่งในสี่ของยอดขายรถทั้งหมด ซึ่งความนิยมของรถไฟฟ้าดังกล่าว ทำให้นักวิเคราะห์ของ Caltrans เชื่อว่าจะทำให้การจัดเก็บภาษีน้ำมันลดลงไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 64% ภายในปี 2035

ดังนั้น Caltrans จึงได้เริ่มทำโครงการนำร่อง 6 เดือน ระหว่างเดือนสิงหาคม 2024 จนถึงต้นปี 2025 เพื่อทดลองระบบเก็บค่าใช้ถนนตามระยะทางที่ใช้ เรียกว่า Road Charge หรือ Mileage-Based User Fee (MBUF)

ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ Caltrans ระบุว่า ได้ทดลองระบบนี้กับรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไปในอัตราไมล์ละ 1.8 เซนต์ และว่าระบบจัดเก็บค่าใช้ถนน ถือว่ายุติธรรมมากกว่า เพราะเป็นระบบ “ขับมาก-จ่ายมาก” อีกทั้งยังครอบคลุมผู้ใช้รถทุกคัน รวมถึงรถไฟฟ้า  ทำให้รัฐมีรายได้มั่นคงมากขึ้น

Caltrans บอกว่ากำลังประเมินผลโครงการนำร่อง คาดว่าจะนำเสนอต่อสาธารณชนได้เร็วๆ นี้

ทั้งข้อมูลจาก National Association of State Budget Officers ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลงบประมาณของทุกรัฐ ชี้ว่าภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของหน่วยงานด้านคมนาคมของทุกรัฐ กำลังลดลง เพราะความนิยมของรถไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นทั่วประเทศ

โดยในปีงบประมาณ 2016 นั้น ภาษีน้ำมันสร้างรายได้เฉลี่ยให้กับทุกรัฐถึง 41% ของรายได้ที่เกี่ยวกับการขนส่งทั้งหมด (ค่าธรรมเนียมป้ายทะเบียน, ต่อทะเบียน, ใบขับขี่ ฯลฯ) แต่รายได้จากภาษีน้ำมันลดลงเหลือประมาณ 36% ในปีงบประมาณ 2024.