เมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า เขาจะหาทางสร้างแพลตฟอร์มสื่อสารของตัวเองขึ้นมาใหม่ หลังจากที่ทวิตเตอร์สั่งปิดบัญชี @realDonaldTrump ป็นการถาวรตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม ด้วยเหตุผลว่าทรัมป์อาจใช้ทวิตเตอร์ปลุกปั่นให้เกิดกระแสความรุนแรงขึ้นอีก หลังจากที่เกิดเหตุอัปยศ ที่ผู้สนับสนุนทรัมป์หลายร้อยคนบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา

โดยทรัมป์ได้ส่งข้อความดังกล่าว ผ่านทวีตเตอร์บัญชี @POTUS โดยบอกว่า "เขาจะไม่เงียบ" (he will "not be SILENCED”) ด้วย

นอกจากทวิตเตอร์แล้ว ข่าวบอกว่าทรัมป์ถูกแบนโดยโซเชียลมีเดียในกระแสหลักทั้งหมด เช่นเฟสบุ๊ก อินสตาแกรม ด้วย

ต่อมา เมื่อวันที่ 10 มกราคม เอพี รายงานข่าวว่าแพลทฟอร์มโซเชียลมีเดียชื่อ Parler ซึ่งถือเป็นแพลทฟอร์มของกลุ่ม “ขวาจัด” ได้ถูกกูเกิล และแอปเปิล ลบจากแอพสโตว์ ไม่ให้มีการดาวน์โหลดมาใช้ได้อีก หลังจากที่แอพตัวนี้เริ่มกลายเป็นศูนย์รวมข่าวสารของกลุ่มที่สนับสนุนทรัมป์ และมีข่าวว่าทรัมป์เองก็กำลังจะเริ่มใช้ Parler เพื่อสื่อสารกับบรรดากลุ่มผู้สนับสนุนเขา โดยกูเกิลเริ่มแบนตั้งแต่วันศุกร์ที่ 8 มกราคม ส่วนแอปเปิลเริ่มแบนในวันเสาร์ที่ 9 มกราคม

นอกจากนี้ อเมซอน ก็จะยุติให้บริการ (web hosting) กับ Parler ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันอาทิตย์ (10 มกราคม) ด้วยเช่นกัน

ในส่วนของแอปเปิลนั้น ข่าวบอกว่าได้มีการเตือนแอพ Parler ล่วงหน้า 24 ชั่วโมง ตามคำร้องเรียนว่า Parler ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการยุยงส่งเสริมให้มีการก่อเหตุรุนแรง และกิจกรรมผิดกฎหมายอื่นๆ ในประเทศ

Parler ซึ่งเปิดตัวชัดเจนว่าเป็นแพลทฟอร์มของกลุ่มขวาจัด อ้างว่ามีผู้ใช้มากกว่า 12 ล้านคนในระยะเวลาแค่สองปี แต่นักวิเคราะห์จากบริษัท Sensor tower แย้งว่ามีผู้ใช้แอพตัวนี้ไม่เกิน 10 ล้านคนทั่วโลก โดยส่วนใหญ่คือ 8 ล้านคน อยู่ในอเมริกา 

แม้จะมีผู้ใช้น้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับทวิตเตอร์ ที่ทรัมป์เคยมีคนติดตามมากกว่า 89 ล้านคน แต่ก็สร้างความกังวลให้กับบริษัทเทคโนโลยี เช่นแอปเปิลและกูเกิล เพราะเริ่มเห็นจำนวนผู้ใช้เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ลูกชายของทรัมป์ คืออีริค และดอน จูเนียร์ เริ่มใช้ Parler เป็นเครื่องมือติดต่อกับบรรดาสาวก ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผิวขาวหัวรุนแรง ให้เคลื่อนไหวช่วยเหลือพ่อของเขา.