ข่าวคนไทยในอเมริกา
บทความ : แคลิฟอร์เนีย ไม่ “บลู” อย่างที่คุณคิด

"... นโยบายของเดโมแครต ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นใน “ยามยาก” ของคนส่วนใหญ่เช่นนี้ ทำให้ผลการเลือกตั้งในรัฐสีน้ำเงินอย่างแคลิฟอร์เนียปีนี้ ต่างจากปี 2020 ค่อนข้างเห็นชัด..."


โดย : ทีมข่าวสยามทาวน์ยูเอส

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนนั้น ต้องยอมรับว่าชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันนั้น เป็นชัยชนะแบบ “ขาดลอย” จริงๆ

แถมเป็นชัยชนะที่เขาได้จากประชาชนแทบทุกกลุ่ม รวมถึงผู้หญิง และลาติโน่ ซึ่งจากการคาดการณ์ของทุกฝ่ายบอกว่าจะเป็นฐานเสียงสำคัญของรองประธานาธิบดี คามาล่า แฮร์ริส ทั้งนั้น

ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ครั้งนี้ นักวิเคราะห์การเมืองบอกเหมือนๆ กันว่าเป็น “คัมแบ๊ก สตอรี่” หรือการผงาดขึ้นมาของคนที่เคยล้มทางการเมือง ที่ถือว่า “ยิ่งใหญ่” ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ เลยทีเดียว

ด้วยว่าตอนที่ทรัมป์ พ่ายแพ้ให้กับโจ ไบเดนในการเลือกตั้งปี 2020 นั้น ทุกฝ่ายเห็นเหมือนกันว่าอนาคตทางการเมืองของเขาดับวูบลงแล้ว เพราะนอกจากจะได้รับฉายา “ประธานาธิบดีที่เลวร้ายที่สุด” จากวีรกรรมสวนกระแสโลกสารพัด ทั้งเรื่องโควิด-19, เรื่องโลกร้อน ฯลฯ แถมยังเป็นผู้นำคนแรกที่ถูกฟ้องถอดถอน (อิมพีช) ถึงสองหน ฯลฯ ฉาวโฉ่เรื่องเสื่อมเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต้องคดีทั้งแพ่งและอาญามากมาย รวมถึงคดีเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ “ก่อจลาจลที่รัฐสภา” เมื่อเดือนมกราคม 2021 ด้วย

แต่เพราะในช่วงปีที่ผ่านมานั้น คะแนนนิยมของ​ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ตกต่ำอย่างที่ไม่เคยมีประธานาธิบดีเดโมแครต คนไหนเจอมาก่อน สภาพแวดล้อมทางการเมืองที่เคยเป็น “ปรปักษ์” ต่อทรัมป์ จึงเปลี่ยนไป

ว่ากันว่าความพ่ายแพ้แบบหมดรูปของเดโมแคต หนนี้ ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ให้กับ โดนัลด์ ทรัมป์ แต่เป็นการพ่ายแพ้ให้กับตัวเอง

นักวิเคราะห์หลายค่ายบอกคล้ายๆ กันว่าการเลือกตั้งปีนี้ ประเด็นที่ชาวอเมริกันให้ความสนใจมากที่สุดคือปัญหาปากท้องของตัวเองที่สืบเนื่องจากสภาวะเงินเฟ้อครั้งประวัติศาสตร์ในช่วงที่ผ่านมา ต่อด้วยปัญหาอาชญากรรมที่ถูกทรัมป์ นำไปโยงต่อกับปัญหาลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายแบบได้ผล

ภาระและความกดดันทางเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัสดังกล่าว ทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งส่วนใหญ่คล้อยตามคำหาเสียงของทรัมป์ และพลพรรครีพับลิกันว่าเกิดจากนโยบายการทำงานที่ไม่เหมาะกับยุคสมัยของรัฐบาลเดโมแครต  และอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถึงขั้นลืมหรือมองข้าม “รอยด่างพร้อย” ของทรัมป์ไป

ปรากฎการณ์ที่ว่านี้ เกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นรัฐสีน้ำเงินต่อเนื่องมาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 1988 ด้วย

เพราะแคลิฟอร์เนีย ถือเป็นหนึ่งในรัฐที่เจอปัญหาหนักหนาที่สุดในประเทศ ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาราคาบ้าน ปัญหาอาชญากรรม วิกฤตอินชัวรันซ์ ปัญหาคนไร้บ้าน ฯลฯ ที่หลายฝ่าย (รวมถึงพลพรรคเดโมแครตเอง) มองว่าเกิดจากนโยบายที่เน้นเมตตาธรรม, เน้นสิทธิมนุษยชน และคำนึงถึงสภาวะแวดล้อมฯ ของผู้บริหารจากเดโมแครต ทั้งที่ซาคราเมนโต้และในเมืองใหญ่ทั่วไป จนลืม “คุณภาพชีวิต” ของประชาชนตาดำๆ ส่วนใหญ่ไป

ที่มีการพูดถึงกันมากในช่วงที่ผ่านมา ก็เช่น เกรดของน้ำมันในแคลิฟอร์เนีย ที่กฎหมายกำหนดให้เป็นเกรดสูงสุด คายมลภาวะน้อยที่สุด โดยไม่แคร์ว่าประชาชนต้องซื้อน้ำมันในราคาแพงที่สุดในประเทศ, การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำในบางสาขาอาชีพให้สูงจนดึงเอาค่าครองชีพของทั้งรัฐ ให้สูงจนประชาชนเขย่งตามไม่ไหว ฯลฯ

หรือเหตุการณ์ล่าสุดในเมืองแอลเอ ที่ผู้บริหารในซิตี้ฮอลล์ อยากให้ประชาชนหันมาปั่นจักรยานมากขึ้น เพื่อลดมลภาวะ ฯลฯ เลยยึดเอาถนนฮอลลีวูดช่วงที่ผ่านไทยทาวน์ของเราไปหนึ่งเลน เพื่อทำเป็นเลนรถจักรยาน

ถามคนในไทยทาวน์แล้ว ได้ความว่านานๆ ถึงจะเห็นคนปั่นจักรยานผ่านมาสักคน แต่ที่เห็นทุกวันคือรถติดยาวเหยียด เพราะเหลือถนนให้รถจำนวนมหาศาลวิ่งสวนกันอยู่แค่เลนเดียว...

นโยบายของเดโมแครต ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นใน “ยามยาก” ของคนส่วนใหญ่เช่นนี้ ทำให้ผลการเลือกตั้งในรัฐสีน้ำเงินอย่างแคลิฟอร์เนียปีนี้ ต่างจากปี 2020 ค่อนข้างเห็นชัด

จากที่ โจ ไบเดน เคยชนะโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยสัดส่วน 63.5 ต่อ 34.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2020 นั้น ปีนี้ คามาล่า แฮร์ริส เอาชนะทรัมป์ ไปด้วยสัดส่วนที่แคบเข้ามามาก คือ 57.6 ต่อ 39.7 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น

หรือหากดูเฉพาะคะแนนป็อปปูลาร์โหวต จะยิ่งเห็นชัด เพราะจากที่ชาวแคลิฟอร์เนีย ออกมาโหวตให้ไบเดน มากถึง 11 ล้านเสียงในปี 2020 นั้น ปีนี้ เสียงที่นางแฮร์ริส ได้รับหดลงเหลือแค่ 6 ล้านเสียง หรือหายไปถึง 5 ล้านเสียง ขณะที่คะแนนเสียงของทรัมป์ ลดลงประมาณ 2 ล้าน คือจาก 6 ล้านในปี 2020 เหลือ 4.1 ล้านในปีนี้

มองได้ว่าคะแนนป็อปปูลาร์โหวตในแคลิฟอร์เนีย ของผู้สมัครจากเดโมแครต ที่หดหายไปมหาศาลนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการไม่ออกมาใช้สิทธิ์ และอีกส่วนหนึ่งถูกเทไปให้กับ “ตัวเลือกใหม่” นั่นคือผู้สมัครอิสระ อย่าง โรเบิร์ท เคนเนดี้ และ จิลล์ สเติร์น ฯลฯ ที่กวาดคะแนนรวมๆ กันได้ประมาณ 2.6 แสนเสียง

ที่สำคัญคือใน 57 เคาน์ตี้ของรัฐแคลิฟอร์เนียนั้น คะแนนเสียงถูกแบ่งระหว่างทรัมป์กับแฮร์ริสชนิดครึ่งต่อครึ่ง เพราะหลายเคาน์ตี้ถูกทรัมป์ “flipped” กลายเป็นสีแดงได้สำเร็จ รวมถึง อินโย, ซานเบิร์นนาดิโน่, เฟรสโน่ และออเรนจ์ เคาน์ตี้ เป็นต้น

ดีที่เคาน์ตี้ชายฝั่งทะเล ตั้งแต่ฮัมโบลด์ท์ เคาน์ตี้ ตอนเหนือสุด ผ่านแอลเอ ลงไปถึงซานดิเอโก้ และอิมพีเรียล เคาน์ตี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นเคาน์ตี้ขนาดใหญ่ ยังคงเป็นพื้นที่สีน้ำเงินอยู่ ไม่งั้นเดโมแครต คง “ไม่รู้เอาหน้าไปซุกที่ไหน”

เราไม่เชื่อว่าทรัมป์ ในตำแหน่งประธานาธิบดี นั้น จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเชิงบวกให้เกิดขึ้นกับแคลิฟอร์เนียได้ อย่างน้อยก็ในช่วงที่ เกวิน นิวซัม ยังเป็นผู้ว่าการรัฐฯ และเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาที่ซาคราเมนโต้ ยังเป็นของเดโมแครตอยู่

แต่ความพ่ายแพ้หมดรูป รวมถึงความเปลี่ยนแปลงในแคลิฟอร์เนียดังที่ว่ามา น่าจะเป็นสัญญาณสะกิดให้พลพรรคเดโมแครต เหล่านี้ ต้องหยุดคิด และให้ความสนใจกับปัญหาแท้จริงของประชาชนมากขึ้นกว่าที่ผ่านๆ มา.




 




นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส
21-11-2024 ชาวแคลิฟฯต้องจ่ายค่าน้ำมันเพิ่ม “พันเหรียญ” ปีหน้า (0/39)   
20-11-2024 แอลเอประกาศตัวเป็น “เมืองหลบภัย” ให้โรบินฮูด (0/52) 
18-11-2024 “ทรัมป์” ส่งสัญญาณ ใช้กำลังทหาร “เนรเทศ” ครั้งใหญ่ (0/282) 
18-11-2024 เตือน “แคร็อต” ปนเปือนอีโคไล 18 รัฐ ตายแล้วหนึ่ง (0/70) 
13-11-2024 บทความ : "กฎหมาย 36” ชัยชนะของประชาชนและความพ่ายแพ้ของ เกวิน นิวซัม (0/283) 

แสดงความคิดเห็น

Name :

Detail :




ฉบับที่
619
siamtownus newspaper








Hots Clip VDO ดูทั้งหมด

ขออภัยสัญญาณ VDO มีปัญหากำลังดำเนินการแก้ไข