เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2025 กระทรวงความมั่นคงภายใน โพสต์บนแพลตฟอร์ม X ว่า “อยากได้ที่อยู่อาศัยราคาถูกหรือ? ช่วยรายงานชาวต่างชาติที่ไม่มีเอกสารในพื้นที่ของคุณ”

โพสต์ของกระทรวงความมั่นคงฯ ซึ่งทำให้คิดว่า “วิกฤตราคาบ้าน” เกิดขึ้นเพราะปริมาณของผู้อพยพนี้ มีขึ้นในช่วงที่ประเทศกำลังประสบปัญหาขาดแคลนที่อยู่อาศัยและราคาบ้านสูงขึ้นอย่างรุนแรง รายงานปี 2025 ระบุว่าประเทศขาดแคลนบ้านราว 2 ล้านหลัง สาเหตุหลักมาจากการสร้างบ้านใหม่ไม่เพียงพอ และครัวเรือนจำนวนมาก ไม่สามารถซื้อบ้านที่มีราคาสูงเกินไปได้

นอกจากการซื้อบ้านแล้ว วิกฤตยังลามมาถึงการเช่าบ้านด้วย เพราะราคาเฉลี่ยของค่าเช่าห้องพักปัจจุบัน สูงเกินกว่า 30% ของรายได้เฉลี่ยประชากรทั่วประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นค่าเช่าเฉลี่ยที่สูงชนิดไม่เคยมีมาก่อน

ความเคลื่อนไหวของกระทรวงความมั่นคงภายในครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเบี่ยงเบนปัญหาที่แท้จริง โดย เอเดรียนา คาเดนา ผู้บริหารของกลุ่มสิทธิผู้อพยพชื่อ Protecting Immigrant Families ซึ่งเป็นเครือข่ายองค์กรช่วยเหลือผู้อพยพกว่า 800 แห่ง กล่าวว่า “ภาษีและนโยบายของทรัมป์ ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น รวมถึงที่อยู่อาศัยด้วย”

“รัฐบาลทรัมป์ทำเป็นอย่างเดียว พอมีปัญหาก็โทษผู้อพยพ” คาเดนา กล่าว

นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิผู้อพยพฯ กล่าวต่อว่าผู้อพยพมีส่วนช่วยด้านแรงงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างและที่อยู่อาศัย ช่วยให้การผลิตบ้านตอบสนองความต้องการได้ 

"หากอยากได้ที่อยู่อาศัยราคาถูกจริงๆ ควรโทษสมาชิกสภาคองเกรสพรรครีพับลิกันที่ยืนเคียงข้างทรัมป์แทน”

แม้นักวิจัยบางส่วนจะมองว่า กลุ่มผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารแสดงตัว อาจเพิ่มความต้องการที่อยู่อาศัย ทำให้ตลาดตึงตัวขึ้น แต่การศึกษาหลายฉบับชี้ว่า ผลกระทบต่อราคาบ้านโดยรวมอยู่ราว 2% เท่านั้น และปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาและค่าเช่าพุ่งสูงในปี 2020–2021 มาจากการก่อตั้งครัวเรือนของคนอเมริกัน และการขาดแคลนบ้าน

ผลวิจัยจากศูนย์ศึกษาเรื่องที่อยู่อาศัยร่วม มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard Joint Center for Housing Studies) ระบุว่า การอพยพเริ่มกลับมาสูงในปี 2022 และสูงสุดในปี 2023 แต่การเติบโตของราคาบ้านและค่าเช่าในช่วงนั้นกลับชะลอตัวลงมาก ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤต มาจากอัตราดอกเบี้ยและความต้องการบ้านช่วงโควิด ไม่ใช่ปริมาณของผู้อพยพ

“ในอดีต ผู้อพยพมีส่วนสำคัญต่อความมั่งคั่งด้านที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ ประมาณ 40 ล้านคนมีส่วนสร้างมูลค่าบ้านรวมราว 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ อีกทั้งช่วยด้านแรงงานก่อสร้าง ทำให้ตลาดบ้านตอบสนองความต้องการได้” ผลวิจัยของฮาร์วาร์ด ระบุ.