แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : อัยการเขตซานฟรานฯ บอก “แอนตวน วัทสัน” กำลังอยู่ในโหมด “เด็กเอาแต่ใจ” ขณะลงมือสังหาร “ลุงวิชา รัตนภักดี” ผู้อาวุโสชาวไทยในซานฟรานฯ  เหมือนเป็นการ “ย้ำชัด” ว่าไม่ใช่คดีเหยียดผิว รวมถึงอาจไม่ใช่ข้อหา “เจตนาฆ่า” อีกด้วย ส่วน “เอบีซี” เปิดหลักฐานใหม่ว่าหลังจากลงมือทำร้ายเหยื่อแล้ว ผู้ต้องหาเดินกลับไปที่รถเพื่อหยิบมือถือมาถ่ายภาพ “ลุงวิชา” ที่กำลังเจ็บหนักอีกด้วย

เครือข่ายฟ็อกซ์นิวส์ รายงานเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมาว่า ชีซ่า โบเดน อัยการเขตของซานฟรานซิสโก กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์อย่างรุนแรง หลังจากที่เขาให้สัมภาษณ์ น.ส.พ. นิวยอร์กไทมส์ ว่า แอนตวน วัทสัน เด็กหนุ่มวัย 19 ปี กำลังอยู่ในสภาพเหมือนเด็กที่กำลังอาละวาดเพราะถูกขัดใจ (temper tantrum) ตอนที่เขาลงมือทำร้ายร่างกายนายวิชา รัตนภักดี ชาวไทยวัย 84 ปี โดยการวิ่งเข้าไปผลักอย่างแรง จนผู้อาวุโสชาวไทยล้มกระแทกพื้น ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

โดยอัยการของซานฟรานซิสโก ยอมรับกับ นิวยอร์กไทมส์ ว่าการเสียชีวิตของนายวิชา รัตนภักดีนั้น เป็นเรื่องเหี้ยมโหด แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ระบุว่าการทำร้ายร่างกายดังกล่าว มีแรงจูงใจจากความเกลียดชังเชื้อชาติเลย

ก่อนหน้านี้ ชีซ่า โบเดน ได้พูดกับสื่อท้องถิ่นของซานฟรานซิสโก ไปแล้วว่า ก่อนลงมือทำร้ายร่างกายผู้อาวุโสชาวไทยนั้น ผู้ต้องหาวัย 19 ปี กำลังอยู่ในสภาพโกรธจัดถึงขั้น “ทุบทำลายรถยนต์” ของตัวเอง หลังได้รับใบสั่งปรับฝ่าฝืนกฎจราจร จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนั้นเมื่อเห็นนายวิชา รัตนภักดี เดินผ่านมา และมองมาที่เขา จึงตะโกนถามว่า “แกมองฉันทำไม (Why you lookin’ at me?” ซ้ำสองครั้งก่อนจะวิ่งข้ามถนนเข้าไปทำร้าย

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธความผิดข้อหาฆาตกรรม และทำร้ายผู้สูงอายุ โดยให้การผ่านทนายความว่า เขาลงมือทำร้ายร่างกายเหยื่อเพราะกำลังโกรธจัด (outburst of rage) โดยไม่ทราบว่าเหยื่อ ซึ่งแต่งตัวแบบมิดชิดและใส่หมวกนั้น เป็นคนเชื้อชาติใด หรืออยู่ในวัยใด

ด้านสถานีข่าว เอบีซี ได้สัมภาษณ์สมาชิกในครอบครัว รัตนภักดี ถึงคำกล่าวของอัยการ ชีซ่า โบเดน ที่บอกว่า แอนตวน วัทสัน กำลังอยู่ในสภาพ temper tantrum ซึ่งเป็นคำที่ใช้บรรยายพฤติกรรมของเด็กที่อาละวาดเพราะถูกขัดใจ โดยบอกว่า “ไม่ใช่ข้อแก้ตัว” สำหรับการฆาตกรรมใครสักคน

นอกจากนี้ เอบีซี ยังอ้างด้วยว่ามีเอกสารของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า หลังจากลงมือทำร้ายนายวิชา รัตนภักดีแล้ว แอนตวน วัทสัน ได้เดินกลับไปที่รถบีเอ็มดับเบิลยูของตัวเองที่จอดอยู่อีกฝั่งถนน เพื่อหยิบเอาโทรศัพท์มือถือ แล้วเดินกลับมาถ่ายภาพเหยื่อ ที่ “กำลังจะเสียชีวิต” ด้วย

ข่าวบอกว่าข้อมูลใหม่ของ เอบีซี ดังกล่าวทำให้ครอบครัวรัตนภักดี รู้สึก “สยดสยอง” เป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม หลังจากคำพูดของอัยการ ชีซ่า โบเดน ได้ถูกเผยแพร่ออกไป และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในสังคมออนไลน์ โฆษกของสำนักงานอัยการฯ ก็ได้ออกมาแก้ข่าวว่า “ความเห็นของอัยการ ชีซ่า โบเดน ต่อผู้ต้องหา คือนายแอนตวน วัทสัน นั้น เป็นการพูดถึงพฤติกรรมโดยทั่วไป ไม่ใช่พฤติกรรมขณะลงมือทำร้ายและสังหารนายวิชา รัตนภักดี อีกทั้งย้ำว่าอัยการ ชีซ่า โบเดน ได้ตั้งข้อหาฆาตกรรม (murder) ซึ่งถือเป็นข้อหารุนแรงที่สุด ให้กับผู้ต้องหาแล้ว

ข่าวบอกด้วยว่าความเห็นของอัยการเขตซานฟรานฯ ซึ่งก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากดังกล่าว ส่งผลให้แฮชแท็กซ์เรียกร้องหาความยุติธรรมให้กับนายวิชา รัตนภักดี (#JusticeForVicha) และแฮชแท็กซ์เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงต่อชาวเอเชีย (#StopAsianHate) ปะทุมากขึ้นอีกครั้ง

ทั้งนี้ จากรายงานขององค์กร Stop Asian American Pacific Islander Hate (stopaapihate.org) นำออาเผยแพร่เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2021 ระบุว่ามีเหตุรุนแรงในลักษณะต่างๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากความเกลียดชังคนเอเชีย มากกว่า 2,808 ครั้งใน 47 รัฐ ในช่วงระหว่างวันที่ 19 มีนาคม ซึ่งเป็นเดือนแรกของการเกิดวิกฤตโควิด-19 ในสหรัฐฯ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2020 

โดยในจำนวนเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มีถึง 126 ครั้ง หรือ 7.3 เปอร์เซ็นต์ เป็นการแสดงออกซึ่งความเกียดชังคนเอเชียกับ “ผู้สูงอายุ” คือกลุ่มที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป

ข้อมูลบอกด้วยว่า การทำร้ายด้วยวาจา หรือ Verbal harassment เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนเอเชียมากที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว คือมีปริมาณมากถึง 70.9 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การแสดงความรังเกียจแบบอื่น เช่นหลบหลีก ไม่พูดด้วยหรือเลี่ยงที่จะให้บริการ ฯลฯ (shunning หรือ avoidance) เกิดขึ้นในสัดส่วน 21.4 เปอร์เซ็นต์ของเหตุการณ์ทั้งหมด

บรรดานักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนเห็นพ้องกันว่า การเพิ่มขึ้นของคดีอาญาที่มีสาเหตุมาจากการเหยียดเชื้อชาติในชุมชนเอเชียอเมริกันนั้น มีความเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส หรือโควิด-19 ตามที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ย้ำตลอดเวลา โควิด-19 คือ ไชน่า หรือไชนีส ไวรัส

โดยพฤติกรรมของทรัมป์ ที่สร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสให้กับชุมชนเอเชียอเมริกันดังกล่าว ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นล่าสุดเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้กล่าวในการประชุมนักการเมืองอนุรักษ์นิยม (CPAC หรือ Conservative Political Action Conference) ที่ฟลอริดา ซึ่งทรัมป์ประกาศว่าเขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2021 โดยยังใช้คำว่า ไชน่าไวรัส อยู่เหมือนเดิม.