แอลเอ (สยามทาวน์ยูเอส) : ไทยส่ง “สุมาลี อินทร์ทอง” หัวหน้าใหญ่ของขบวนการค้าหญิงไทยใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ในฐานะ “ผู้ร้ายข้ามแดน” มาดำเนินคดีในสหรัฐฯ แล้ว เป็นผู้ต้องหาคนสุดท้ายในคดีที่มีผู้ต้องหาเกือบ 40 คน โดยเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ โดยอัยการสหรัฐฯ อีริก้า เอช แม็คโดนัลด์ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ว่าทางการสหรัฐฯ ได้รับตัว สุมาลี อินทร์ทอง ผู้หญิงไทยวัย 59 ปีในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนจากประเทศไทยมาดำเนินคดีในสหรัฐฯ แล้ว และได้ตั้งข้อหาต่างๆ ไม่น้อยกว่า 8 กระทงให้กับผู้หญิงไทยระดับ “หัวหน้า” ของขบวนการค้าผู้หญิงไทยข้ามชาติรายนี้
โดย สุมาลี อินทร์ทอง ถือเป็นผู้ต้องหาคนสุดท้ายของคดีค้ามนุษย์เพื่อใช้แรงงงานทางเพศ ที่ได้ชื่อว่า “ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ” ได้ขึ้นศาลเพื่อรับฟังการแจ้งข้อหาต่อหน้าผู้พิพากษา อลิซาเบธ โคแวน ไรท์ แห่งศาลแขวงมินิโซต้า เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการจองจำ เพื่อรอการขึ้นศาลพิจารณาคดีต่อไป
ทั้งนี้ คำฟ้องของอัยการระบุว่า สุมาลี อินทร์ทอง หรือ “จอย” มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมขนาดใหญ่ ที่บีบบังคับผู้หญิงจากประเทศไทยหลายร้อยคน มาค้าประเวณีในหลายๆ เมืองทั่วประเทศสหรัฐฯ โดยทำหน้าที่เป็นทั้งหัวหน้า และผู้ลักลอบพาคนเข้าเมืองให้กับองค์กรอาชญากรรมองค์กรนี้ โดยเหยื่อผู้หญิงไทยแต่ละคน อยู่ในครอบครอง (owned) ของ สุมาลี อินทร์ทอง หรือหัวหน้าคนอื่นๆ ในขบวนการ ถูกบังคับขายตัววันละหลายๆ ครั้ง จนกว่าจะสามารถปลดหนี้ก้อนใหญ่ ที่คำร้องเรียกว่า ‘หนี้ทาส’ หรือ bondage debt ซึ่งจะอยู่ระหว่าง 40,000 -60,000 ดอลลาร์ โดยสุมาลี อินทร์ทอง และผู้ร่วมขบวนการของเธอ จะเป็นผู้จัดการให้เหยื่อทุกคน เดินทางจากประเทศไทยมายังสหรัฐฯ ก่อนจะกักขังเหยื่อในซ่องที่ใดที่หนึ่งในสหรัฐฯ
โดยสุมาลี อินทร์ทอง เป็นผู้ต้องหาคนสุดท้ายของคดีนี้ เพราะในช่วงการบุกจับกุมสมาชิกของขบวนการค้าผู้หญิงไทยในหลายๆ รัฐตามปฏิบัติการชื่อ Bangkok dark nights เมื่อเดือนกันยายน 2016 นั้น เป็นช่วงที่ สุมาลี อินทร์ทอง ถูกจับกุมดำเนินคดีอยู่ที่ประเทศเบลเยี่ยม (ถูกจับเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2016) ด้วยข้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีในสหรัฐฯ ดังนั้นทางการสหรัฐฯ จึงต้องรอให้ สุมาลี อินทร์ทอง รับโทษในเบลเยี่ยมจนครบ และถูกส่งตัวกลับประเทศไทยเสียก่อน จึงขอให้รัฐบาลไทยส่ง สุมาลี อินทร์ทอง ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนมาพิจารณาคดีได้
โดยการฟ้องร้องเอาผิดกับ สุมาลี อินทร์ทอง ครั้งนี้ คำแถลงเรียกว่า the superseding indictment ซึ่งหมายถึงการฟ้องซ้ำจากสาเหตุบางอย่าง เช่นข้อหาเดิมหมดอายุความก่อนจะมีการพิจารณาคดี เป็นต้น
คำแถลงระบุถึงคำฟ้องต่อไปว่า สุมาลี อินทร์ทอง และผู้ร่วมกระทำผิดทั้งหมดในองค์กรอาชญากรรมของเธอ มีส่วนร่วมกับการฉ้อโกงวีซ่า (visa fraud) ครั้งใหญ่ เพื่อพาเหยื่อเดินทางข้ามประเทศ โดยสมาชิกในองค์กร ได้ช่วยเหลือเผื่อในการได้ครอบครองวีซ่าและเอกสารประกอบการเดินทางอื่นๆ ที่เป็นของปลอม โดยในขั้นตอนการทำวีซ่าปลอมนี้ บรรดาคนร้ายในองค์กร จะทำการเก็บข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อทุกอย่าง รวมถึงที่อยู่ของครอบครัวของเหยื่อในประเทศไทย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ข่มขู่เหยื่อในภายหลัง หากเหยื่อไม่ยอมเชื่อฟัง หรือพยายามจะหลบหนีจากองค์กรอาชญากรรมนี้
นอกจากนี้ องค์กรอาชญากรรมยังใช้วิธีรับเงินสดเป็นหลัก และมีวิธีการฟอกเงินที่ซับซ้อน เพื่อหลบหลีกผลกำไรผิดกฎหมาย โดยเชื่อว่าตลอดระยะเวลาทำงานขององค์กรนี้ มีการโยกย้ายผลกำไรแบบผิดกฎหมายจากอเมริกาไปยังประเทศไทยและประเทศอื่นๆ เป็นจำนวนหลายสิบล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
โดยข้อหาอาญาทั้งแปดกระทง ที่ สุมาลี อินทร์ทอง ได้รับ ประกอบด้วย
-สมรู้ร่วมคิดในคดีค้ามนุษย์เพื่อใช้แรงงงานทางเพศ (Sex Trafficking) 1 กระทง
-ค้ามนุษย์เพื่อใช้แรงงานทางเพศ โดยการบังคับ, ฉ้อโกงและข่มขู่ 1 กระทง
-สมรู้ร่วมคิดในคดีบังคับใช้แรงาน (forced labor) 1 กระทง
-สมรู้ร่วมคิดในคดีขนส่งบุคคลเพื่อการค้าประเวณี 1 กระทง
-ขนส่งบุคคลเพื่อการค้าประเวณี 1 กระทง
-สมรู้ร่วมคิดในคดีฟอกเงิน 1 กระทง
-สมรู้ร่วมคิดในการใช้เครื่องมือสื่อสาร (communication facility) เพื่อประชาสัมพันธ์การค้าประเวณี 1 กระทง
-สมรู้ร่วมคิดในความผิดข้อหาฉ้อโกงวีซ่า 1 กระทง
ทั้งนี้ สุมาลี อินทร์ทอง ถือเป็นผู้ต้องหาคนสุดท้ายของขบวนการค้ามนุษย์เพื่อใช้แรงงานทางเพศที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของอเมริกา มีผู้ต้องหา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทย เกือบ 40 คน โดยมีการแยกพิจารณาคดีเป็นสองชุด ชุดแรกคือผู้ต้องหาที่มีการจับกุมเมื่อเดือนตุลาคม 2016 มีผู้ต้องหาประมาณ 17 คน เป็นคนไทยอย่างน้อย 12 คน และชุดที่สอง มีการจับกุมและตั้งข้อหาในเดือนพฤษภาคม 2017 มีผู้ต้องหาประมาณ 21 คน
โดยผู้ต้องหาที่เป็นผู้หญิงไทยนั้น ข่าวบอกว่าส่วนใหญ่เคยเป็น “เหยื่อ” ของขบวนการค้ามนุษย์มาก่อน และกลายมาเป็นทีมงานในภายหลัง
สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกระบุว่าเป็นหัวหน้า หรือบอส ขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมีอยู่ 6 คนนี้ นอกจาก สุมาลี อินทร์ทอง ซึ่งการพิจารณาคดียังไม่เริ่มต้นขึ้นนี้ ที่เหลือล้วนแต่ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงตามข้อหาอาญาร้ายแรงไปตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2018 และมีการพิพากษาโทษกันไปเกือบครบถ้วนแล้ว เช่น
ธัชรินทร์ รัตนมงคลกุล (Thoucharin Ruttanamongkongul) หรือน้อย วัย 36 ปี จากชิคาโก้ ถูกศาลพิพากษาจำคุก 142 เดือน (11.8 ปี) ไปเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2019
เสาวภา ถิ่นราม (Saowapha Thinram) หรือแนนซี่ หรือกุ้ง วัย 45 ปี ชาวเมืองฮัทโต้ รัฐเท็กซัส นั้น ถูกศาลพิพากษาจำคุก 120 เดือน (10 ปี) ไปตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2019
วราลี วันเลสส์ (Waralee Wanless) หญิงไทยในเท็กซัส ถูกพิพากษาจำคุก 144 เดือน (12 ปี) ไปเมื่อเดือนกันยายน 2020
ไมเคิล มอร์ริส หรือ “อังเคิลบิลล์” ชาวเมืองซีลบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย วัย 66 ปี ที่ถูกศาลสหรัฐฯ ประจำมินิโซต้า ตัดสินจำคุก 17 ปี ไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2020
ส่วน ภาวินี อันประดิษฐ์ (Pawinee Unpradit) หรือฝน วัย 47 ปี ชาวเมืองดัลลัส เท็กซัส ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงตามข้อหาอาญา 4 ข้อ (เท่ากับ เสาวภา ถิ่นราม ธัชรินทร์ รัตนมงคลกุล และวราลี วันเลสส์) นั้น จากการสืบค้นของสยามทาวน์ยูเอส ยังไม่พบว่ามีการพิพากษาโทษไปแล้วแต่อย่างใด.
การทลายขบวนการค้าผู้หญิงไทยข้ามชาติตามปฏิบัติการที่เรียกว่า Bangkok dark nights ดังกล่าวนี้ สยามทาวน์ยูเอส ได้นำเสนอข่าวครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2016 โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง จากหลายหน่วยงาน เช่นโฮมแลนด์ ซีเคียวริตี้, ไออาร์เอส ร่วมกับหน่วยงานผู้รักษากฎหมายทั้งระดับรัฐ และระดับท้องถิ่น บุกจับกุมผู้ต้องสัยพร้อมกันหลายจุด หลายเมือง ทั้งในมินนีอาโปลิส, ชิคาโก้, ลอส แอนเจลิส, ซานดิเอโก้, ดัลลัส, ออสติน, ฮิวส์ตัน ฯลฯ ถือเป็นการปฏิบัติการครั้งแรกที่มีเป้าหมายการจับกุมแบบ “ยกแก๊ง” (entire sex trafficking organization) โดยการจับกุมเกิดขึ้นหลังจากมีการสอบสวนและติดตามพฤติกรรมของผู้ต้องสงสัยมาเกือบสองปี รวมถึงการส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐมินิโซต้า เดินทางไปติดต่อขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในประเทศไทยด้วย