รายงานความเคลื่อนไหวของผู้บริโภค (Mobility Consumer Pulse) ประจำปี 2024 ของบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจ McKinsey & Co. เปิดเผยเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ว่า 46 เปอร์เซ็นต์ของเจ้าของรถไฟฟ้าในอเมริกา ต้องการเปลี่ยนกลับไปใช้รถน้ำมันอีกครั้ง เมื่อถึงเวลาต้องซื้อรถคันต่อไป

รายงานบอกด้วยว่า ผลสำรวจดังกล่าวสร้างความแปลกใจให้กับผู้ทำสำรวจอย่างมาก

“ผมไม่คาดว่าผลจะออกมาแบบนั้น” ฟิลลิป แคมป์ชอฟฟ์ ผู้บริหารของ แม็คเคนซีย์ฯ กล่าว “เพราะคิดว่าเมื่อเป็นผู้ใช้รถไฟฟ้าแล้ว ก็จะเป็นผู้ใช้รถไฟฟ้าตลอดไป”

ส่วนผลสำรวจระดับโลก ซึ่งสอบถามความเห็นผู้ใช้รถไฟฟ้าเกือบ 37,000 คนในประเทศท่ีมีผู้ใช้รถไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก พบว่า ออสเตรเลีย เป็นประเทศที่มีผู้ไม่พึงพอใจกับรถไฟฟ้าของตัวเองมากที่สุดในโลก คือ 49 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประเทศอื่นๆ ได้แก่ บราซิล จีน ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี่ ญี่ปุ่นและนอร์เวย์ ต่างมีสัดส่วนผู้ไม่พึงพอใจรถไฟฟ้าของตัวเองในอัตราเฉลี่ย 29 เปอร์เซ็นต์

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้รถ อีวี อยากจะกลับไปใช้รถน้ำมันอีกครั้ง คือการขาดแคลน โครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาร์จรถไฟฟ้า (35 เปอร์เซ็นต์), ค่าใช้จ่ายโดยรวมในการเป็นเจ้าของรถอีวี สูงเกินไป (34 เปอร์เซ็นต์) และรถไฟฟ้า มีผลกระทบกับการวางแผนเดินทางไกลมากเกินไป (32 เปอร์เซ็นต์)

อย่างไรก็ดี ผลสำรวจพบว่าผู้ใช้รถไฟฟ้า มีความพึงพอใจมากขึ้นกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย ในประเด็นสถานีชาร์จไฟฟ้า

ผลสำรวจผู้ใช้รถ อีวี ทั่วโลกพบว่า มีเจ้าของรถที่พึงพอใจกับโครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาร์จรถไฟฟ้า รวมถึงจำนวนสถานีชาร์จรถไฟฟ้าในเมืองที่ตัวเองอาศัยอยู่ เพียงแค่ 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ขณะที่อีก 40 เปอร์เซ็นต์เห็นว่ามีสถานีชาร์จน้อยมากบริเวณข้างไฮเวย์ และถนนสายหลักต่างๆ และ 38 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่ามีสถานีชาร์จใกล้บ้านของตนเองน้อยมาก

ความนิยมรถไฟฟ้าที่ถดถอยลงอย่างรุนแรงในอเมริกา มีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลกลางพยายามผลักดันให้โรงงานรถยนต์และผู้บริโภคในประเทศ ยอมรับรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแบบนี้มากขึ้น โดยมีการผ่านร่างกฎหมายเมื่อปี 2021 ให้จัดตั้งกองทุนจากภาษีนับพันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างสถานีชาร์จรถไฟฟ้าประมาณห้าแสนสถานี ทั่วประเทศภายในปี 2030 แต่นับถึงปัจจุบัน มีการสร้างสำเร็จแล้วเพียง 7 แห่งเท่านั้น.