ทราบไหมว่า “เหรียญทอง” ที่มอบให้กับนักกีฬาในมหกรรมโอลิมปิกฤดูหนาว “โซชิเกมส์” ที่กำลังเข้มข้นอยู่ในเวลานี้นั้น แต่ละเหรียญมีน้ำหนักมากถึง 531 กรัม หรือเท่าๆ กับ “น้ำขวด” ขนาดมาตรฐานที่เราเห็นๆ กัน... ถือว่า “หนัก” ทีเดียว...
แต่คำถามคือว่าเหรียญทองแต่ละเหรียญ มี “ทอง” จริงๆ สักกี่มากน้อย...
คำตอบคือ “ไม่มากนัก”
จริงๆ แล้ว “เหรียญทอง” เป็นช่ือเรียกต่อๆ กันมาแบบผิดๆ เหมือนเรียกถั่วว่า “พีนัท” ทั้งๆ ที่ไม่ใช่พืชตระกูลนัท หรือเรียกถนนเส้นเล็กๆ ว่า Parkways และเรียกที่จอดรถหน้าบ้านว่า Driveway นั่นแหละ...
ทองคำเป็นโลหะมีค่า หากจะใช้ทองบริสุทธิ์มาจัดทำเหรียญทองมอบให้กับผู้ชนะเลิศกีฬาทั้ง 98 ประเภทแล้วล่ะก็ โอลิมปิกฤดูหนาวหนนี้จะต้องใช้เงินมากกว่าสองล้านดอลลาร์สำหรับจัดทำเหรียญทอง... ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ถือว่าหนักหนาสาหัสอะไรนัก เพราะอย่าลืมว่ารัสเซียทุ่มเงินถึง 50 พันล้านดอลลาร์ในการเนรมิตเมืองตากอากาศแบบบ้านๆ แห่งนี้ ให้กลายเป็นสถานที่แข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ที่ต้องรองรับผู้คนมหาศาลจากทั่วโลก
แต่ก็นั่นแหละ ขืนใช้ทองคำแท้ๆ มาจัดทำเหรียญทองก็จะเหมือนเป็นการแหกประเพณีที่ทำต่อๆ กันมาตั้งแต่ครั้งโบร่ำโบราณไปซะ...
ถามว่าหากไม่นับคุณค่าทางจิตใจแล้ว เหรียญทองจากโซชิเกมส์ จะมีค่าสักกี่มากน้อย
ยูเอสเอทูเดย์ บอกว่าเหรียญทองหนึ่งเหรียญ ซึ่งหนัก 531 กรัมนั้น มีส่วนผสมของทองคำจริงๆ แค่หกกรัมเท่านั้น ที่เหลือคือธาตุเงิน หรือซิลเวอร์
คำนวนจากราคาตลาดของทองคำ ณ วันนี้ ซึ่งอยู่ที่กรัมละ 41.47 ดอลลาร์ บวกกับราคาตลาดของเงินกรัมละ 0.65 ดอลลาร์ จะได้ราคาเหรียญทองโอลิมปิกฤดูหนาวปีนี้ที่เหรียญละ 548 ดอลลาร์ (เท่านั้น)
แต่แน่นอนว่า ในสายตาของนักกีฬา ที่ต้องทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างอดทนมายาวนาน เหรียญทองที่ได้รับนั้นมีคุณค่าทางจิตใจอย่างเหลือล้น เพราะมันคือสัญลักษณ์ของความเป็นเลิศระดับ “ที่สุดในโลก”
คุณค่าของเหรียญทองอยู่ตรงนั้น... ไม่ใช่อยู่ที่เอามาหลอมแล้วจะได้ทองคำพอทำต่างหูสักคู่ไหม?
นอกจากนี้ นักกีฬาจากหลายๆ ประเทศ อาจถึงขั้น “ตั้งตัว” ได้จากการคว้าเหรียญทองกลับไปฝากเพื่อนร่วมชาติ ด้วยว่าการ “อัดฉีด” นักกีฬาที่ทำชื่อเสียงให้ประเทศชาตินั้น ไม่่ใช่ว่าจะมีแต่เฉพาะ “ไทยแลนด์”เสียเมื่อไหร่...
เว็บไซต์ของ AIPS หรือสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาที่มีสมาชิกอยู่ทั่วโลก สรุปยอดเงินรางวัลที่รัฐบาลแต่ละประเทศ ประกาศจะมอบให้กับนักกีฬาที่เอาเหรียญทองกลับไปจากโซชิเกมส์ ดังนี้
1 คาซักสถาน เหรียญละ 250,000 ดอลลาร์
2 ลัทเวีย เหรียญละ 192,000 ดอลลาร์
3 อิตาลี เหรียญละ 191,000 ดอลลาร์
4 ยูเครน เหรียญละ 150,000 ดอลลาร์
5 ออสเตรเลีย เหรียญละ 126,000 ดอลลาร์
การตั้งเงินรางวัลก้อนโตให้กับนักกีฬาของบางประเทศ ซึ่งไม่น่าจะร่ำรวยอะไรนักนั้น เป็นเรื่องที่มีเหตุผล... หรือถ้ารัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะตั้งเงินโบนัสให้กับสองนักสกีจากไทยแลนด์ คือ คุณคเณศ สุจริตกุล และ คุณวาสเนสซ่า เมย์ สักคนละแสนหรือสองแสนก็ทำได้... เพราะดูเหมือนเป็นการให้กำลังใจกับนักกีฬาได้อย่างดี
ทั้งนี้เพราะโอกาสที่นักกีฬาจากประเทศเหล่านี้จะสามารถเอาชนะนักกีฬาจากประเทศที่ขลุกอยู่กับหิมะทั้งปีทั้งชาตินั้น แทบจะเป็นศูนย์...
ถ้าเป็นประเทศหวังเหรียญ อย่างอเมริกา เขาให้โบนัสเหรีญทองนักกีฬากันแค่หลักหมื่น... แถมหักภาษีด้วยนะ...
จนถึงวันพฤหัสฯ ที่ 13 กุมภาพันธ์ สี่นักกีฬาอเมริกันที่คว้าเหรียญทองไปครองกันคนละเหรียญแล้ว คือ เซจ คอทเซนเบิร์ค, เจมี่ แอนเดอร์สัน, ไคลีน เฟอร์ริงตัน จากสโนว์บอร์ด และ จอสส์ คริสเตียนเซ่น จากสกี จะได้รับเงินโบนัสจากคณะกรรมการโอลิมปิกอเมริกา คนละ 25,000 ดอลลาร์ (หรือ 15,000 ดอลลาร์หลังหักภาษีแล้ว)
สี่เหรียญทอง โอลิมปิกอเมริกาจ่ายไปแค่แสนเหรียญ... น้อยกว่าตัวเลข “ต่อเหรียญ” ที่ทั้งห้าประเทศบอกว่าจะมอบให้นักกีฬาเสียอีก...
สรุปว่ายิ่งมีโอกาสได้เหรียญมาก นักกีฬาก็จะได้รับเงินอัดฉีดน้อยลง...
ยกตัวอย่างประเทศแคนาดา ที่ประกาศ (แบบอ้อมแอ้ม) ว่าจะให้โบนัส ซิดนีย์ ครอสบี้ กัปตันทีมชาติฮ็อคกี้น้ำแข็ง 18,000 ดอลลาร์ หากนำทีมไปคว้าเหรียญทองกลับบ้านได้สำเร็จ...
เงินก้อนนี้ถือว่า “จิ๊บจ๊อย” มากหากเทียบกับค่าแรงของ ซิดนีย์ ครอสบี้ ในฐานะ “ซูเปอร์สตาร์” ของทีมพิชเบิร์ค เพนกวินส์ แห่งเอ็นเอชแอล ที่สูงถึง 146,341 ดอลลาร์ต่อเกม...
ขณะที่นอร์เวย์ ซึ่งคว้าเหรียญมากที่สุดของโอลิมปิกฤดูหนาวเมื่อสี่ปีก่อนที่แวนคูเวอร์นั้น... ที่ผ่านมา ไม่เคยมีการ “อ๊อฟเฟอร์” เงินโบนัสเหรียญทองให้กับนักกีฬาของตัวเองเลย... ปีนี้ก็เช่นกัน...