เพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่ผู้บริหารของ 99 Cents Only เชนร้านสินค้าราคาประหยัดซึ่งเป็นทีนิยมในหมู่คนไทยในอเมริกา ได้ประกาศปิดกิจการไปเมื่อวันพฤหัสฯ ที่ 4 เมษายน 2024 นั้น ร้านสินค้าราคาประหยัดอย่าง Dollar Tree ซึ่งเป็นร้านสินค้าราคาประหยัดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอเมริกา (รองจาก Dollar General) ก็ได้ออกมาแถลงถึงการปรับเพดานราคาสินค้าในร้านให้สูงขึ้นมาเป็น 7 ดอลลาร์ เพื่อความอยู่รอดเนื่องจากได้ผลผลกระทบจากสภาวะเงินเฟ้อครั้งประวัติศาสตร์นี้ เช่นกัน

โดย ริก ดรีลิง ซีอีโอ ของ ดอลลาร์ ทรี แถลงเมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ร้านดอลลาร์ ทรี มากกว่า 3,000 สาขาทั่วประเทศ จะปรับราคาสินค้ามากกว่า 300 ชนิดให้สูงขึ้น โดยสินค้าในร้านจะมีราคาตั้งแต่ 1.50 ดอลลาร์ จนถึง 7 ดอลลาร์

ผู้บริหารของ ดอลลาร์ ทรี บอกด้วยว่าสินค้าที่มีการปรับราคามากที่สุดคือสินค้าอาหาร, สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง (pet supplies) และเครื่องใช้ส่วนบุคคล (personal care items) ต่างๆ แต่ยังยืนยันว่าสินค้าส่วนใหญ่ในร้าน จะคงราคาเดิมเอาไว้

กระนั้นก็ตาม ริก ดรีลิง บอกด้วยว่าการปรับเพดานราคาสินค้าในร้าน ดอลลาร์ ทรี เป็น 7 ดอลลาร์นี้ เป็นการแก้ปัญหาระยะแรกเท่านั้น โดยแผนเดิมคือการปรับเพดานราคาขึ้นไปเป็น 10 ดอลลาร์ แต่ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าจะมีการปรับราคาอีกครั้งเมื่อไหร่

ข่าวบอกว่าการปรับราคาสินค้าในร้าน ดอลลาร์ ทรี น่าจะมีผลกับร้านในเครือ คือ แฟมิลี่ ดอลลาร์ ซึ่งดอลลาร์ ทรี ซื้อกิจการมาเมื่อปี 2015 ด้วย

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ดอลลาร์ ทรี ไม่สามารถขายสินค้าในราคา 1 ดอลลาร์ ได้อีกต่อไปนั้น ข่าวอ้างคำแถลงของ ริก ดรีลิง ว่าเป็นเพราะได้รับผลกระทบแบบรุนแรงจากสภาวะเงินเฟ้อครั้งล่าสุด บวกกับสวัสดิการที่รัฐบาลช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยลดลง ทำให้กำลังซื้อของกลุ่มที่เป็นลูกค้าหลักของดอลลาร์ ทรี รวมถึงร้านค้าราคาประหยัดทุกแห่ง ลดลงไปด้วย

นอกจากการปรับเพดานราคาขึ้นแล้ว ดอลลาร์ ทรี ยังได้ประกาศปิดสาขาลงประมาณ 30 แห่งภายในปีนี้ และปิด แฟมิลี่ ดอลลาร์ ลงประมาณ 600 สาขาภายในหกเดือนแรกของปีนี้ ก่อนจะปิดอีก 370 สาขาในปีหน้า

ข่าวบอกด้วยว่าการปิดตัวของร้าน 99 เซ็นต์โอลี่ และแฟมิลี่ ดอลลาร์ รวมถึงการประกาศขึ้นราคาสินค้าของ ดอลลาร์ ทรี จะกลายเป็น “ความท้าทาย” ให้กับกลุ่มนักล่าสินค้าราคาประหยัดมากขึ้น.