วอลสตรีทเจอร์นัล อ้างแหล่งข่าวในทำเนียบข่าวว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะลงนามในคำสั่งบริหารฉบับล่าสุดในวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 เพื่อกำหนดให้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติของอเมริกา
คำสั่งดังกล่าวนี้ จะมีผลให้หน่วยงานของรัฐบาลกลาง รวมถึงองค์กรต่างๆ ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล จะต้องเลือกระหว่างการจัดทำเอกสาร หรือให้บริการด้วยภาษาอื่นๆ นอกจากภาษาอังกฤษต่อไป หรือถูกระงับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล
ข่าวบอกว่าทรัมป์จะลงนามในคำสั่งบริหารฉบับนี้ในวันศุกร์ แต่จนถึงช่วงค่ำก็ยังไม่มีการลงนามแต่อย่างใด
ข่าวบอกว่าสาเหตุที่ทำเนียบขาวสนับสนุนให้ “อเมริกามีภาษาเดียว” ว่า จะส่งผลให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียว (unity) ทำให้การปฏิบัติงานของรัฐบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นลู่ทางให้เกิดการมีส่วนร่วมของพลเรือน (civic engagement) มากขึ้นด้วย
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังเสร็จสิ้นพิธีสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ของทำเนียบขาว ได้ลบตัวเลือก “ภาษาสแปนิช” บนเว็บไซต์ทิ้ง โดยทรัมป์เคยสั่งให้ลบตัวเลือกภาษาสแปนิชบนเว็บไซต์ของทำเนียบขาว ระหว่างดำรงตำแหน่งสมัยแรกด้วย แต่มีการนำกลับมาหลังจากโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี 2021
เอพี อ้างข้อมูลบนเว็บไซต์ขององค์กร U.S English ซึ่งเคลื่อนไหวสนับสนุนให้มีการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติของอเมริกาว่า มีความพยายามผลักดันร่างกฎหมายชื่อ The English Language Unity Act ในคองเกรสมาตั้งแต่ปี 2005 แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ แม้ว่าขณะนี้ มีถึง 31 รัฐของอเมริกา (รวมถึงแคลิฟอร์เนีย) มีกฎหมายกำหนดให้อังกฤษเป็นภาษาประจำรัฐฯ อยู่แล้วก็ตาม
ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากร ระบุว่า ปัจจุบันนี้ อเมริกามีการใช้ภาษาต่างๆ มากกว่า 350 ภาษา โดยภาษาที่มีการใช้อย่างแพร่หลายที่สุดรองจากภาษาอังกฤษคือ สแปนิช, จีน, ตากาล็อก, เวียดนาม และอาราบิก
นอกจากภาษาจากต่างประเทศแล้ว อเมริกายังมี “ภาษาพื้นเมือง” ที่ยังคงใช้อยู่อีกหลายภาษา เช่น Navajo, Yupik, Dakota, Apache, Keres และ Cherokee เป็นต้น.