บทความ : ว่าด้วยการระงับสิทธิ “ได้สัญชาติโดยกำเนิด”
ในรอบเดือนที่ผ่านมา กระแสข่าวเกี่ยวกับการยกเลิกสิทธิการได้ “สัญชาติโดยกำเนิด” ของอเมริกา ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก มีการวิเคราะห์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย ทั้งจากฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายต่อต้าน จนทำให้ข้อมูลถูกแตกประเด็นออกไปในวงกว้าง
โดย : ทีมข่าวสยามทาวน์ยูเอส
เห็นชัดว่าหลายๆ ประเด็น มีเจตนาสร้างความวิตกกังวลให้กับเหล่า “ผู้อพยพ” ที่กำลัง “เครียดจัด” จากสถานการณ์บุกจับกุมครั้งใหญ่ตามนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ อยู่ในเวลานี้
ทีมข่าวสยามทาวน์ยูเอส จึงขอสรุปความคืบหน้าของประเด็นนี้ โดยไม่ผสม “ความเห็น” ใดๆ ทั้งจากฝ่ายสนับสนุนและต่อต้าน เพื่อให้คุณผู้อ่าน โดยเฉพาะว่าที่คุณพ่อ-คุณแม่ ที่กำลังจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นนี้โดยตรง ได้เข้าใจมากขึ้น
:-คำตัดสินของศาลฎีกา: คดี Trump v. CASA, Inc. เมื่อ 27 มิถุนายน 2025
คำตัดสินของศาลฎีกาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2025 ทำให้หลายฝ่ายเข้าใจผิดว่าความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการระงับสิทธิการได้สัญชาติจากการเกิดตามบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 14 นั้น ได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว... ซึ่งผิดไปจากความจริงค่อนข้างมาก
แท้จริงแล้ว คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา มีมติ 6 ต่อ 3 ว่า ศาลชั้นต้น ที่เรียกว่าศาลแขวงของรัฐบาลกลาง (federal district courts) ทั้ง 94 แห่งทั่วประเทศ ไม่มีอำนาจ หรือมีอำนาจจำกัด ในการออกคำสั่งทั่วประเทศเพื่อ “ขัดขวาง” นโยบายใดๆ ก็ตามของรัฐบาลกลาง
คำตัดสินดังกล่าว หมายความว่า คำสั่งห้ามของศาลชั้นต้นที่มีอยู่ อาจไม่สามารถขัดขวางคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ เกี่ยวกับการระงับการให้สัญชาติโดยกำเนิดทั่วประเทศได้
แต่คำตัดสินของศาลฎีกา ไม่ได้พูดถึงความชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ของคำสั่งฝ่ายบริหารนั้น แปลว่าแต่ละรัฐ ยังคงมีโอกาสที่จะฟ้องร้องเพื่อคัดค้านและป้องกันไม่คำสั่งบริหารของทรัมป์ มีผลในรัฐของตัวเองได้
:- คำตัดสินของศาลฎีกา มีผลอย่างไร:
คำตัดสินของศาลฎีกาดังกล่าว เหมือนกับการอนุญาตให้รัฐบาลกลาง สามารถระงับสิทธิได้สัญชาติโดยกำเนิดของทารกใน 28 รัฐรีพับลิกัน ที่ไม่คัดค้านคำสั่งบริหารฉบับนี้ เช่นเท็กซัส, อาร์คันซอส์, มิสซิสซิปปี้ และนอร์ธ ดาโกต้า ฯลฯ โดยสามารถทำได้ภายใน 30 วันหลังมติของศาลฎีกา คือเริ่มมีผลในวันที่ 27 กรกฎาคม นี้
แน่นอนว่าระบบศาลสถิตย์ยุติธรรมที่ซับซ้อนของอเมริกา ทำให้กลุ่มและองค์กรด้านสิทธิของผู้อพยพ เช่น สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) และ Asian Law Caucus ได้ยื่นฟ้องคดีแพ่ง เพื่อขัดขวางคำสั่งนี้อีกครั้ง ในลักษณะฟ้องร้องหมู่ หรือ class-action ในนามประชาชนทั่วประเทศ เพื่อท้าทายคำสั่งของทรัมป์ และขอให้ศาลมีคำสั่งระงับทั่วประเทศ ก่อนถึงกำหนดเส้นตายปลายเดือนนี้
สรุป ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2025 ได้ว่าคำสั่งบริหารของทรัมป์ จะยังไม่มีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ เพราะคดียังคงอยู่ในชั้นศาล
:-หากการยกเลิกสัญชาติโดยกำเนิดเกิดขึ้นจริง ผลกระทบจะเป็นเช่นไร
หนึ่งในความสับสนที่มีการพูดถึงกันมาก คือหากคำสั่งบริหารของทรัมป์มีผลบังคับขึ้นมาจริงๆ จะมีผลย้อนหลังไปยังเด็กอเมริกันทุกคนที่เกิดในครอบครัว “โรบินฮูด” ซึ่งไม่ได้ใกล้เคียงความจริงเลยแม้แต่น้อย
จริงๆ แล้ว คำสั่งบริหารของทรัม์ จะเริ่มมีผลกับทารกที่เกิดจาก “พ่อและแม่” ที่ไม่ใช่พลเมืองหรือมีสิทธิ์พำนักถาวรตามกฎหมาย หลังวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งเป็นวันที่เขาลงนามในคำสั่งคณะบริหารฯ เท่านั้น
เด็กที่เกิดหลังวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งพ่อ หรือแม่ (หรือทั้งคู่) เป็นพลเมืองสหรัฐฯ หรือมีสิทธิ์อยู่อาศัยถาวรตามกฎหมาย ก็ไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ทั้งนี้ การถูกตัดสิทธิ์เป็นพลเมืองจากการเกิดของเด็กๆ ในครอบครัวโรบินฮูด ยังขึ้นอยู่กับรัฐที่พวกเขาเกิด และผลของคดีฟ้องร้องหมู่ ที่ยังไม่ทราบผลการตัดสินด้วย
ซึ่งความลักลั่นของกลไกการปกครองเช่นนี้ ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจนำไปสู่สถานการณ์ยุ่งเหยิง เพราะเด็กที่เกิดในรัฐของเดโมแครต อาจได้เป็นพลเมืองอเมริกันตามปกติ ขณะที่เด็กในหลายๆ รัฐที่ปกครองโดยรีพับลิกัน จะกลายเป็นคนไร้สัญชาติ หรือไม่มีรัฐ (stateless) ได้
สยามทาวน์ยูเอส ขอให้ผู้อ่าน โดยเฉพาะผู้ที่อนาคตของลูกหลาน (หรือตัวเอง) เกี่ยวพันอยู่กับเรื่องนี้ ให้ใจเย็นๆ และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ถูกต้องในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย.
นำเสนอข่าวโดย : ภาณุพล รักแต่งาม,
แหล่งที่มาข่าวโดย : สยามทาวน์ยูเอส